Author Archives: James H. Tomaszewski

ส่อง 5 อันดับนักฟุตบอลที่ทำเงินสูงที่สุดจากอินสตาแกรม

อินสตาแกรม หรือ ไอจี เป็นสื่อสังคมออนไลน์ระดับต้น ๆ ของโลก โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 1,000 ล้านคน เหล่าคนดังจากหลายวงการมักสร้างแอคเคาท์ของตัวเองเพื่อให้บรรดาแฟนคลับได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ยิ่งมีชื่อเสียงก็ยิ่งมีผู้ติดตามมากตามไปด้วย และด้วยยอดการติดตามนี่เองที่ดึงดูดให้แบรนด์สินค้าชั้นนำลงทุนจ้างเหล่าคนดังให้โพสต์รูปคู่กับสินค้าของตนเพื่อโปรโมทในไอจี โดยเหล่านักฟุตบอลชื่อดังก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น และนี่คือ 5 อันดับนักฟุตบอลที่สร้างรายได้สูงสุดต่อการโพสต์อินสตาแกรม 1 ครั้ง

อันดับที่ 1 : คริสเตียโน่ โรนัลโด้  (IG: @cristiano)

ซุปเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกสประสบความสำเร็จทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ เป็นแชมป์เมเจอร์ถึง 29 รายการ และได้รับรางวัลส่วนตัวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบัลลงดอร์ 5 สมัย, นักฟุตบอลของยุโรป 4 สมัย และอีกกว่า 50 รางวัล จนกลายเป็นนักฟุตบอลที่มียอดผู้ติดตามสูงที่สุดถึง 186 ล้านคน โดยสามารถทำรายได้จากการโฆษณาลงไอจีถึงโพสต์ละ 975,000 ดอลล่าร์สหรัฐ

อันดับที่ 2 : เนย์มาร์ (IG: @neymarjr)

ศูนย์หน้าทีมชาติบราซิล เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่ประสบความสำเร็จทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ เขาถูกจับตามองและเปรียบเทียบกับนักเตะระดับตำนานของโลกอย่างเปเล่มาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะสร้างชื่อเป็นของตัวเองได้ ปัจจุบันมียอดผู้ติดตามไอจีอยู่ที่ 127 ล้านคน และค่าลงโฆษณาโพสต์ละ 722,000 ดอลล่าร์สหรัฐ

อับดับที่ 3 : ลีโอเนล เมสซี่ (IG: @leomessi)

ศูนย์หน้าลูกหม้อของบาร์เซโลน่า เป็นนักเตะปัจจุบันเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จจากการลงเล่นให้กับสโมสรเดียว น่าเสียดายที่เขายังไม่อาจช่วยให้ทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่คว้าแชมป์เมเจอร์รายการใดได้เลย ขณะนี้เขามีผู้ติดตาม 133 ล้านคน และได้รับค่าจ้างต่อโพสต์อยู่ที่ 628,000 ดอลล่าร์สหรัฐ

อันดับที่ 4 : เดวิด เบ็คแฮม (IG: @davidbeckham)

อดีตปีกขวาทีมชาติอังกฤษลงเล่นให้ทีมชั้นนำของยุโรปและอเมริกา ทำให้ปัจจุบันเขายังคงได้รับความสนใจจากแฟนบอลทั่วโลก แม้จะแขวนสตั๊ดมากว่า 6 ปีแล้วก็ตาม ด้วยการเป็นนักฟุตบอลที่มีดีทั้งเรื่องฝีเท้าและหน้าตา ทำให้มียอดผู้ติดตามอยู่ที่ 58 ล้านคน และเรียกค่าโฆษณาได้ถึง 357,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อการโพสต์ 1 ครั้ง

อับดับที่ 5 : โรนัลดินโญ่ (IG: @ronaldinho)

อดีตศูนย์หน้าทีมชาติบราซิล มีความโดดเด่นทั้งเรื่องฝีเท้า ทรงผม และรอยยิ้ม แถมสมัยเป็นนักเตะยังกวาดรางวัลมามายมากทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ รวมทั้งรางวัลส่วนตัวที่ยาวเป็นหางว่าว ปัจจุบันจึงยังมีแฟนบอลติดตามเขาอยู่ 49 ล้านคน และได้รับค่าโฆษณาต่อครั้งที่โพสต์ 256,000 ดอลล่าร์สหรัฐ

จากข้อมูลข้างต้น ใช่ว่านักฟุตบอลแต่ละคนจะได้รับค่าโฆษณากันทุกโพสต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงที่ตัวนักเตะได้ทำสัญญาไว้กับสปอนเซอร์แต่ละราย โดยยังต้องคำนึงถึงเงื่อนไขต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในสัญญา และปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วย

วิคตอร์ โอซิมเฮน ว่าที่ดาวซัลโวค่าตัวแพงแห่งลีกเอิง

แม้ต้องเสียดาวซัลโวประจำทีมอย่างนิโคลัส เปเป้ ศูนย์หน้าทีมชาติโกตดิวัวร์ (ไอวอรี่โคสต์) ที่ช่วยยิง 23 ประตูเมื่อฤดูกาลที่แล้วไปให้กับอาร์เซน่อล ด้วยค่าตัวสูงถึง 79 ล้านยูโร แต่ก็ทำให้ลีลล์ได้โอกาสโชว์ศักยภาพการเป็นนักปั้นมือทองอีกครั้งกับ “วิคตอร์ โอซิมเฮน” ศูนย์หน้าคนใหม่ของทีม

เมื่อปีที่แล้ว วิคตอร์ โอซิมเฮน ทำไปได้ 20 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ ในการลงเล่นให้กับชาร์เลอรัว ทีมในลีกเบลเยี่ยม จนถูกลีลล์ดึงตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัว 12 ล้านยูโร แล้วศูนย์หน้าทีมชาติไนจีเรียก็ไม่ทำให้ต้นสังกัดใหม่ผิดหวัง เมื่อจัดการยิงคนเดียว 2 ประตูในนัดเปิดฤดูกาล ช่วยให้ทีมเอาชนะน็องต์ไปได้ 2-1 ก่อนจะมายิงอีก 5 ประตู ครองตำแหน่งดาวซัลโวของลีกเอิงหลังจากผ่านไป 9 นัด จนถูกเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายนของลีกเอิง

โอซิมเฮน ถูกเรียกตัวติดทีมชาติไนจีเรียชุดใหญ่อีกครั้งในเกมกระชับมิตรกับยูเครน ซึ่งเขาสามารถยิงประตูแรกในทีมชาติชุดใหญ่ได้เสียที หลังจากยิงมาแล้ว 10 ประตูในทีมชาติเยาวชนชุดอายุไม่เกิน 17 ปี และอีก 3 ประตูสมัยเล่นให้กับทีมชาติเยาวชนชุดอายุไม่เกิน 20 ปี

ในฟุตบอลยุโรป โอซิมเฮนถูกส่งลงสนามตั้งแต่เกมแรกในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับอาแจ๊กซ์ แต่ไม่อาจช่วยอะไรทีมได้มากจนเป็นฝ่ายพ่ายไป 0-3 ก่อนจะมายิงประตูแรกในศึกยุโรปได้จากเกมที่พบกับเชลซีในนัดต่อมา ซึ่งเป็นประตูตีเสมอก่อนที่ลีลล์จะพ่ายไปด้วยสกอร์ 1-2

ปี 2019 จึงถือเป็นปีที่แสนมหัศจรรย์สำหรับศูนย์หน้าดาวรุ่งวัย 20 ปีอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการยิง 2 ประตูแรกตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนามในลีกเอิง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในลีกใหญ่ของยุโรป, การประเดิมสนามในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอย่างไม่ตื่นกลัว, การยิงประตูแรกใส่ทีมอย่างเชลซี แชมป์ยูโรป้าทีมล่าสุด, การยิงประตูแรกในนามทีมชาติไนจีเรียชุดใหญ่, การครองตำแหน่งดาวซัลโวประจำลีกเอิง, ตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคมและกันยายนของสโมสรลีลล์ และนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายนของลีกเอิง

ถือเป็นอีกครั้งที่ลีลล์ได้สร้างนักเตะมากฝีมือประดับวงการฟุตบอล หลังจากประสบความสำเร็จมาแล้วกับโยฮัน กาบาย มิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศส, อิดริสซ่า กานา เกย์ กองกลางตัวรับทีมชาติเซเนกัล, ดิมิทรี ปาเยต มิดฟิลด์ตัวรุกทีมชาติฝรั่งเศส, นิโคลัส เปเป้ ศูนย์หน้าค่าตัวแพง และเพลย์เมคเกอร์ระดับโลกอย่างเอเดน อาซาร์

ต้องรอดูว่าเมื่อฤดูกาลสิ้นสุดลง วิคตอร์ โอซิมเฮน จะไปได้ไกลขนาดไหน เขาจะรักษาตำแหน่งดาวซัลโวประจำลีกเอิงตั้งแต่ต้นจนจบไว้ได้หรือไม่ หรือท้ายที่สุดแล้วเขาจะย้ายไปอยู่กับทีมใหญ่ทีมใด เผลอ ๆ การย้ายทีมครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้น อาจมีมูลค่ามากกว่ารุ่นพี่อย่างเปเป้เสียด้วยซ้ำ

ติโบต์ กูร์กตัวส์ อดีตผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของโลกที่ยังหาฟอร์มเก่งของตัวเองไม่เจอ

 ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากแสนสาหัสกับชีวิตในถิ่นซานติอาโก เบอร์นาบิวของติโบต์ กูร์กตัวส์ เมื่อผู้รักษาประตูมือหนึ่งทีมชาติเบลเยี่ยมยังไม่อาจงัดฟอร์มเก่งเหมือนในฟุตบอลโลก 2018 ออกมาได้เลย นับตั้งแต่ย้ายมาจากเชลซีด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ตั้งแต่เมื่อปีก่อน โดยปีแรกภายใต้เครื่องแบบราชันชุดขาวเขาถูกส่งเฝ้าเสาไปทั้งสิ้น 35 นัด แต่สามารถเก็บคลีนชีตได้เพียง 10 เกม แถมยังถูกส่องตาข่ายจากคู่แข่งไปถึง 48 ประตู จนมาในปีนี้ทั้งที่เพิ่งลงสนามไปเพียง 9 นัด ก็ถูกคู่แข่งยิงไปแล้ว 12 ประตู แถมยังช่วยทีมป้องกันประตูได้เพียง 11 ครั้ง น้อยกว่าจำนวนประตูที่เสียให้คู่แข่งเสียอีก สิ้นลายเจ้าของรางวัล “โกลเด้น โกลฟ” จากฟุตบอลโลก 2018 อย่างหมดรูป

กูร์กตัวส์ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเฝ้าเสาประตูให้กับเชลซีและทีมชาติเบลเยี่ยม โดยเขามีส่วนช่วยให้ทีมสิงโตน้ำเงินครามคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 2 สมัย ตามด้วยแชมป์เอฟเอคัพ และลีกคัพ อย่างละ 1 สมัย จนได้รางวัลถุงมือทองคำจากพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016-17 ด้วยผลงาน 16 คลีนชีต และคว้ารางวัลถุงมือทองคำในศึกฟุตบอลโลก 2018 จากผลงาน 27 เซฟใน 7 เกม ช่วยให้เบลเยี่ยมครองอันดับ 3 ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนั้น ก่อนจะได้รับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าไปครองอีกรางวัล จนเรอัล มาดริดอดใจไม่ไหวต้องกระชากตัวไปร่วมทีมในที่สุด

การแยกทางของเชลซีกับกูร์กตัวส์นั้นจบไม่สวยสักเท่าไหร่ แม้ผู้รักษาประตูมือหนึ่งจะให้เหตุผลการย้ายทีมครั้งนี้ว่าเพื่อต้องการใช้เวลาร่วมกับลูกทั้ง 2 คนที่อาศัยอยู่ในกรุงมาดริดก็ตาม แต่การไม่เดินทางมารายงานตัวซ้อมกับต้นสังกัดเพื่อบีบให้เกิดการย้ายทีมก็ดูจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย แถมยังให้สัมภาษณ์ในเชิงว่าเรอัล มาดริด เหนือกว่าอดีตต้นสังกัดอย่างมาก จนได้รับการสาปส่งจากแฟนบอลเชลซีอย่างล้นหลาม

การย้ายร่วมทีมเรอัล มาดริดครั้งนี้นับเป็นการย้ายมาสเปนเป็นหนที่สองของกูร์กตัวส์ หลังจากผู้รักษาประตูชาวเบลเยี่ยมเคยลงเล่นให้กับแอตเลติโก มาดริดด้วยสัญญายืมตัวถึง 3 ซีซั่น โดยสามารถคว้าแชมป์ลาลีกา, แชมป์โคปา เดล เรย์, แชมป์ยูโรป้าลีก และแชมป์ซุปเปอร์ คัพ ได้อย่างละ 1 สมัย เรียกได้ว่ามีประสบการณ์กับฟุตบอลสเปนอย่างโชกโชนทีเดียว จึงน่าแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมเขาจึงประสบความล้มเหลวในยามลงเล่นให้อีกทีมร่วมเมืองหลวงของสเปนชนิดที่หน้ามือเป็นหลังมือ ถึงขนาดโดนยิงไปถึง 9 ประตูจากการถูกคู่แข่งยิงตรงกรอบ 14 ครั้งหลังสุด

ต้องรอดูว่าฟลอเรนติโน เปเรซ หัวเรือใหญ่ของราชันชุดขาวจะอดทนกับผู้รักษาประตูที่เขาเลือกมาด้วยตัวเองอีกนานเท่าไหร่ และหากกูร์กตัวส์ยังไม่อาจเรียกฟอร์มเก่งของตัวเองกลับมาได้โดยเร็ว ก็มีสิทธิ์ถูกโละทิ้งจากทีมในไม่ช้า เพราะขนาดอิเคร์ กาซิยาส ผู้รักษาประตูระดับตำนานของทีมยังถูกบีบให้ย้ายทีมอย่างไม่ใยดีเมื่อไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป

สตีฟ บรู๊ซ กับการคุมทีมในพรีเมียร์ลีก 400 นัดและชัยชนะครั้งแรกเหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

นับตั้งแต่เปลี่ยนเส้นทางอาชีพจากนักฟุตบอลมาเป็นผู้จัดการทีม สตีฟ บรู๊ซได้นำทีมต้นสังกัดของเขาปะทะกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมาเกือบ 30 นัด ตั้งแต่สมัยที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันยังคุมทีมอยู่ข้างสนาม แต่ก็ไม่เคยเก็บชัยชนะเหนืออดีตต้นสังกัดเมื่อสมัยยังเป็นนักเตะได้เลย จนกระทั้งมาถึงยุคโอเล่ กุนนาร์ โซลชา เขาจึงสามารถพิชิตทีมปีแดงลงได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ฉลองการคุมทีมลงแข่งขันในศึกพรีเมียร์ลีกครบ 400 นัดพอดิบพอดี นับเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 7 ที่ทำได้ต่อจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, อาร์แซน เวนเกอร์, แฮร์รี่ เร้ดแนปป์, เดวิด มอยส์, แซม อัลลาร์ไดซ์ และมาร์ค ฮิวจ์ส

ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่สตีฟ บรู๊ซ ค้าแข้งอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขามีความทรงจำที่ดีมากมายในศึกพรีเมียร์ลีก เมื่อสามารถเป็นกัปตันทีมคนแรกที่ได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกร่วมกับไบรอัน ร็อบสัน ก่อนนำปีศาจแดงคว้าแชมป์ได้อีก 2 สมัย ภายหลังประกาศแขวนสตั๊ด เขาก็รับงานคุมทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในศึกดิวิชั่น 1 ทันที ก่อนจะย้ายไปคุมฮัดเดอส์ฟิลด์ ทาวน์, วีแกน แอธเลติก, คริสตัน พาเลซ และเบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ ทีมที่เขาสามารถพาเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษประเดิมคุมทีมพรีเมียร์ลีกนัดแรกในเกมเปิดฤดูกาล 2002-03 พบกับอาร์เซน่อล และเป็นฝ่ายพ่ายไป 0-2 โดยฤดูกาลแรกบรู๊ซพาทีมลูกโลกจบด้วยอันดับที่ 13 และทำทีมเกาะกลุ่มกลางตารางได้เรื่อยมา จนกระทั้งซีซั่น 2005-06 เบอร์มิ่งแฮมหล่นไปอยู่ในอับดับที่ 18 ตกชั้นไปเล่นในลีกแชมเปี้ยนชิพ แต่ปีต่อมาเขาก็พาทีมกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ก่อนจะย้ายไปคุมทีมระดับพรีเมียร์ลีกด้วยกันอย่างวีแกนและซันเดอร์แลนด์ แต่หลังจากแยกทางกับทีมแมวดำ สตีฟ บรู๊ซเลือกคุมทีมแชมเปี้ยนชิพอีกครั้งกับฮัลล์ ซิตี้ และเพียงปีเดียวก็ช่วยให้ทีมตราเสือเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ก็ไม่อาจช่วงให้ทีมยืนระยะบนลีกสูงสุดได้เกิน 2 ปีก็ตกชั้นไปตามสภาพ ก่อนจะเป็นนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดที่เลือกเขาจนได้กลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในปัจจุบัน

สตีฟ บรู๊ซ เป็นผู้จัดการทีมที่มักให้โอกาสดาวรุ่งอยู่เสมอ นักเตะมีชื่อเสียงหลายคนถูกเขาส่งลงสนามตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นคาเมรอน เจอโรม ศูนย์หน้าชาวอังกฤษ, แอนดรูว์ โรบินสัน แบ็กซ้ายทีมชาติสก็อตแลนด์ หรือแม้แต่แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ปราการหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก รวมไปถึงนักเตะรายล่าสุดอย่างแมทธิว ลองสต๊าฟฟ์ ผู้ยิงประตูชัยช่วยให้เจ้านายสามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้เป็นครั้งแรกในฐานะผู้จัดการทีม

แม้การคว้าชัยเหนือทีมปีศาจแดงจะช่วยให้นิวคาสเซิล ยูไนเต็ดขยับหนีโซนตกชั้นได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่ถือว่าปลอดภัยเมื่อฤดูกาลยังอีกยาวไกล ที่ผ่านถึงสตีฟ บรู๊ซจะเคยผ่านประสบการณ์ทั้งพาทีมเลื่อนชั้นและทำทีมตกชั้นมาแล้ว แต่ตามสถิติเขาไม่เคยคุมทีมใดแล้วตกชั้นตั้งแต่ฤดูกาลแรก ต้องรอชมว่าท้ายที่สุดแล้วสถิติของเขาจะยังคงความอาถรรพ์และช่วยให้ทีมสาลิกาดงอยู่รอดในพรีเมียร์ต่อไปได้สำเร็จหรือไม่

สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ มิดฟิลด์สายบู๊ที่พร้อมพาปีศาจแดงทะยานไปข้างหน้า

ในช่วงที่ฟอร์มการเล่นโดยรวมของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดดำดิ่งอย่างน่าใจหาย “สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์” กลับเป็นนักเตะเพียงไม่กี่คนของทีมที่ยังคงรักษามาตรฐานการเล่นของตัวเองไว้ได้ เมื่อช่วยทำลายเกมรุกของคู่แข่งก่อนหลุดเข้าเขตอันตรายได้อยู่บ่อยครั้ง แถมยังพาบอลขึ้นหน้าเพื่อสร้างโอกาสทำประตูอยู่เสมอ จนได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายนของทีมปีศาจแดงไปครอง

นับตั้งแต่ถูกโชเซ่ มูรินโญ่ดึงขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อฤดูกาล 2016-17 แม็คโทมิเนย์ก็ได้พัฒนาฝีเท้าจนกลายมาเป็นนักเตะสำคัญในยุคของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา และเป็นมิดฟิลด์ตัวเลือกแรกของกุนซือชาวนอร์เวย์ เหนือทั้งเนมานย่า มาติช และเฟร็ด สองมิดฟิลด์รุ่นพี่ กองกลางทีมชาติสกอตแลนด์มีการอ่านเกมที่ยอดเยี่ยม มีการผ่านบอลที่แม่นยำ แถมยังชอบผ่านบอลไปข้างหน้า แทนที่จะเน้นการผ่านบอลออกด้านข้างหรือเน้นคืนหลังเหมือนอย่างที่มาติช และเฟร็ดชอบทำ จนถูกมองว่าเป็นมิดฟิลด์ที่ครบเครื่องที่สุดในทีมปีศาจแดงชุดนี้ และการผ่านบอลไปข้างหน้านี่เองทำให้เขาสร้างโอกาสทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในเกมกับอาร์เซน่อล เมื่อสามารถทำประตูขึ้นนำได้จากการยิงไกลนอกกรอบเขตโทษ นับเป็นประตูที่ 3 ของเขาในเครื่องแบบปีศาจแดง แถมนัดนั้นเขายังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเมื่อมีสถิติการผ่านบอลสำเร็จ 77% เข้าแย่งบอลชนะคู่แข่งได้ 100% เรียกฟาวล์จากคู่แข่งได้ 5 ครั้ง สร้างโอกาสทำประตูให้เพื่อน 1 ครั้ง มีโอกาสยิง 3 ครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็น 1 ประตู จนได้รางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ไปครองหลังเกม

ด้วยความสูงถึง 193 เซนติเมตร ทำให้แม็คโทมิเนย์โดดเด่นในเรื่องลูกกลางอากาศอย่างมาก และมักเอาชนะการดวลกลางอากาศกับคู่แข่งได้อยู่เสมอ แถมการมีร่างกายที่แข็งแกร่งก็ช่วยให้เขาสามารถเบียดบังบอลได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างมากในการเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับให้ปีศาจแดง แต่ก่อนที่จะมีความสูงได้ขนาดนี้ แม็คโทมิเนย์เคยมีความสูงเพียง 167 เซนติเมตรเท่านั้นในสมัยที่ยังเล่นให้กับทีมเยาวชนปีศาจแดงชุดอายุต่ำกว่า 18 ปี จนไม่ได้รับโอกาสให้ลงสนามเท่าที่ควร แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ในระยะเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง เขาสามารถเพิ่มความสูงของตัวเองเป็น 193 เซนติเมตรและยึดตำแหน่งตัวจริงได้ในที่สุด

นอกจากจะเป็นยอดนักสู้ แม็คโทมิเนย์ยังเป็นนักเตะที่สามารถเล่นได้ตามที่โค้ชต้องการอีกด้วย อย่างในสมัยที่ยังเล่นให้กับทีมเยาวชน เขามักถูกสั่งให้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าร่วมกับมาร์คัส แรชฟอร์ดอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งก็ทำผลงานได้ดีเสียด้วย แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งถนัดก็ตาม

ปัจจุบันแม็คโทมิเนย์ในวัย 22 ปี ยังคงสัญญาระยะยาวกับทีมไปจนถึงปี 2023 และด้วยบุคลิกนักสู้และจิตใจที่สู้ไม่ถอย อันเป็นสิ่งที่แทบไม่ค่อยได้เห็นจากนักเตะปีศาจแดงชุดปัจจุบัน ทำให้เขาถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมในอนาคตเลยทีเดียว

“คาเซมิโร่” มิดฟิลด์ตัวรับที่ได้ดีจากคำโกหก

คาเซมิโร่ ถือเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวรับเบอร์ต้น ๆ ของโลก และเป็นนักเตะที่เรอัล มาดริดจะขาดไม่ได้ในแต่ละนัด เขาลงสนามรับใช้ทีมราชันชุดขาวไปมากกว่า 200 นัด ทำประตูคู่แข่งไปได้ 20 ประตู แต่ก่อนที่กองกลางทีมชาติบราซิลจะประสบความสำเร็จในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับอย่างทุกวันนี้ เขายอมรับว่าเคยโกหกเรื่องตำแหน่งการเล่นของตัวเองในสมัยวัยเด็ก

คาเซมิโร่ เล่าว่าในวัยเด็กเขาเคยเล่นในตำแหน่งกองหน้ามาก่อน จนกระทั่งตอนอายุ 11 ปี เขาได้เข้าร่วมการทดสอบฝีเท้ากับทีมเซา เปาโล สโมสรชั้นนำของประเทศบราซิล โดยมีนักเตะเยาวชนจากทั่วประเทศกว่า 300 ชีวิตเดินทางมาเข้ารับการคัดตัวครั้งนั้น แต่ทางสโมสรมีความตั้งใจว่าจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 50 คนเท่านั้นที่จะได้เข้าสู่ทีมเยาวชน ก่อนเริ่มการทดสอบโค้ชได้ถามถึงตำแหน่งการเล่นของแต่ละคน โดยเริ่มจากผู้รักษาประตูที่มีคนยกมือเพียง 3 คน ตามมาด้วยตำแหน่งกองหน้าซึ่งมีคนยกมือถึง 50 คน เมื่อเห็นว่ามีการแข่งขันกันสูงเขาจึงเลือกที่จะเอามือลง ต่อมาเป็นตำแหน่งเบอร์ 10 ก็มีคนยกมืออีก 50 คน จนกระทั่งมาถึงตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ มีคนยกมือเพียง 8 คนเท่านั้น เขาจึงรีบยกมือและเลือกเล่นตำแหน่งนี้ทั้งที แม้บรรดาโค้ชจะบอกว่าร่างกายของเขาเหมาะสำหรับเล่นในตำแหน่งกองหน้า แต่เขาก็ยืนกรานว่าเขาจะเป็นกองกลางตัวรับ จนในที่สุดเขาก็ได้รับเลือกเขาสู่ทีมเยาวชนของเซา เปาโลและเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวตัดเกมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

คาเซมิโร่ถูกเลือกให้เป็นกัปตันทีมเยาวชนของเซา เปาโล ในปี 2009 เขาก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิลชุดเยาวชนในศึกฟุตบอลโลกอายุต่ำกว่า 17 ปี ที่ประเทศไนจีเรีย ก่อนจะถูกโปรโมทขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของเซา เปาโลในปีต่อมา จนกระทั้งเรอัล มาดริดดึงไปร่วมทีมในปี 2013 ด้วยค่าตัว 18.738 ล้านเรียล ก่อนจะถูกส่งไปเก็บประสบการณ์กับทีมปอร์โต ในลีกโปรตุเกส ด้วยสัญญายืมตัวทั้งฤดูกาล 2014-15 เมื่อกลับมาสวมเครื่องแบบราชันชุดขาวอีกครั้งเขาก็เริ่มฉายแววการเป็นมิดฟิลด์ตัวรับระดับโลก ในจังหวะเดียวกับที่ซามิ เคดิร่า มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมันเจ้าของตำแหน่งเดิมอำลาทีมไป คาเซมิโร่ก็ก้าวขึ้นมาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับหมายเลขหนึ่งของทีมอย่างไร้รอยต่อในยุคของซีเนดีน ซีดาน และถือเป็นผู้ปิดทองหลังพระช่วยให้เรอัล มาดริดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ถึง 3 สมัยติดต่อกัน รวมไปถึงแชมป์ลาลีกาอีก 1 สมัย

น่าคิดว่าหากคาเซมิโร่ไม่เลือกโกหกโค้ชแล้วเปลี่ยนมาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับตั้งแต่วัยเด็ก โดยยืนยันที่จะเล่นในตำแหน่งกองหน้าอันเป็นตำแหน่งที่โปรดปรานของเด็กส่วนใหญ่ต่อไป ตอนนี้เขาจะไปค้าแข้งอยู่กับทีมใด แต่ที่แน่ ๆ จากฟอร์มการยิงประตูของเขาแล้ว คงไม่อาจช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ได้มากมายเหมือนที่เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับให้กับเรอัล มาดริดแน่นอน

จูนินโญ แปร์นัมบูกาโน ผู้ยืนหนึ่งในเรื่องฟรีคิก

ฟุตบอลสมัยใหม่ที่เน้นผลการแข่งขันเป็นหลัก ทำให้หลายทีมเลือกเล่นแบบเน้นตั้งรับ จนคู่แข่งไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันเข้าไปทำประตูได้ ลูกฟรีคิกหรือลูกตั้งเตะจึงถือเป็นจังหวะสำคัญที่สามารถตัดสินผลการแข่งขันได้เลยทีเดียว หากพูดถึงนักเตะที่มีลูกตั้งเตะเป็นอาวุธเด็ด หลายคนอาจนึกถึงคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ศูนย์หน้าทีมชาติโปรตุเกสที่มีเท้าอันทรงพลังและท่ายิงอันเป็นเอกลักษณ์ หรือแม้แต่ลีโอเนล เมสซี่ ศูนย์หน้าทีมชาติอาร์เจนติน่าเจ้าของเท้าซ้ายที่ไว้ใจได้เสมอ รวมถึงเดวิด เบ็คแฮม ปีกขวาทีมชาติอังกฤษที่ยิงฟรีคิกและเปิดบอลได้แม่นเหมือนจับวาง แต่ทั้งหมดยังห่างชั้นเมื่อเทียบกับ “จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่” อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติบราซิล ที่ยิงประตูจากลูกฟรีคิกไปถึง 75 ประตู อันเป็นสถิติสูงที่สุดในโลก

จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่ เริ่มมีชื่อเสียงมาจากการเล่นให้กับวาสโก ดา กาม่า ทีมดังจากประเทศบ้านเกิด โดยสามารถคว้าแชมป์ได้ถึง 6 รายการ ก่อนจะข้ามน้ำข้ามทะเลมายังยุโรปเพื่อเล่นให้กับโอลิมปิก ลียง ในลีกเอิง ฝรั่งเศส เมื่อปี 2001 ซึ่งถือเป็นนักเตะบราซิลรายที่ 4 ในทีมลียงชุดนั้น ทำให้เขาปรับตัวเข้ากับทีมใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อนหน้านี้สโมสรโอลิมปิก ลิยงไม่เคยได้แชมป์ลีกเอิงมาก่อนเลย แต่เพียงฤดูกาลแรกจูนินโญ่ก็บันดาลแชมป์ลีกเอิงให้ต้นสังกัดใหม่ทันทีอย่างเหนือความคาดหมาย ก่อนจะเป็นจุดเริ่มต้นป้องกันแชมป์ลีกเอิงได้อีก 6 สมัยติดต่อกัน จนเป็นยุคที่โอลิมปิก ลียงครองความยิ่งใหญ่ในลีกฝรั่งเศส

จูนินโญ่ยิงประตูให้กับลียงได้ 100 ประตูพอดิบพอดี จากการลงสนาม 300 นัดตลอดทั้ง 8 ฤดูกาล โดย 44 ประตูในนั้นมาจากลูกยิงฟรีคิก จูนินโญ่เคยให้สัมภาษณ์ถึงการยิงฟรีคิกของเขาไว้ว่า “เป้าหมายของผมคือต้องทำให้ลูกฟุตบอลปั่น ผมจะวิ่งเข้ามาบอลแบบตรงๆ แล้วยิงบริเวณกลางลูกฟุตบอลด้วยเท้าด้านในเหมือนเวลาจ่ายบอล แต่ใช้ความแรงมากกว่า เท้าจะสัมผัสบริเวณส่วนล่างของลูกบอลแล้วปั่นข้ามกำแพงไป ซึ่งบอลจะมุดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้ผู้รักษาประตูสับสน” แม้จะวิธีการที่ไม่ซับซ้อนมาก และมีหลายคนพยายามจะลอกเลียนแบบ แต่ก็ไม่มีใครสามารถยิงฟรีคิกได้ทรงพลังอย่างต้นตำรับ

หลังจากหมดสัญญากับลียง เขาเลือกเล่นให้กับอัล กอรอฟา ทีมในลีกกาตาร์ ซึ่งช่วยให้ต้นสังกัดได้แชมป์ลีก 1 สมัย และแชมป์บอลถ้วยอีก 3 สมัย ก่อนจะย้ายไปยังเมเจอร์ลีกสหรัฐอเมริกากับนิวยอร์ค เรด บลูส์ และกลับไปแขวนสตั๊ดกับวาสโก ดา กาม่าในที่สุด จบตำนานลูกยิงฟรีคิกไว้ที่ 75 ประตู

ปัจจุบันจูนินโญ่กลับไปทำงานให้กับโอลิมปิก ลียงอีกครั้งในตำแหน่งผู้อำนวนการฟุตบอลของสโมสร โดยเขาเป็นผู้เลือกซิลวินโญ่ อดีตแบ็กซ้ายเพื่อนร่วมทีมชาติบราซิลเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีมของลียงช่วงต้นฤดูกาล 2019-20 

ดาบิด เด เคอา ขึ้นแท่นตำนานผู้รักษาประตูของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ดาบิด เด เคอา ได้ตัดสินใจฝากชีวิตไว้ที่โรงละครแห่งความฝัน หลังจากสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องการต่อสัญญากับผู้รักษาประตูทีมชาติสเปนออกไปอีก 4 ปีจนถึงปี 2023 พร้อมออปชั่นขยายสัญญาเพิ่มอีก 1 ปี สยบข่าวลือเรื่องการย้ายทีมไปเล่นให้กับเรอัล มาดริด, ปารีส แซงต์ แชร์แมง หรือยูเวนตุส ซึ่งเขาถูกเชื่อมโยงมาตลอดในระยะเวลาหลายปีหลัง

การจรดปากกาเซ็นสัญญาดังกล่าว ทำให้เด เคอาได้รับค่าจ้างหลังหักภาษีเพิ่มเป็น 13.3 ล้านปอนด์ต่อฤดูกาล หรือราว ๆ 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ กลายเป็นนักเตะที่รับค่าจ้างสูงที่สุดในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำลายสถิติเดิมของพอล ป็อกบา มิดฟิลด์เพื่อนร่วมทีม แถมยังเป็นผู้รักษาประตูที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลกอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อตอบแทนผลงานอันยอดเยี่ยมที่เขาได้รับใช้สโมสรมาตลอด 8 ปี และลงสนามช่วยทีมมากกว่า 350 นัด

เด เคอา ถูกเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันดึงตัวมาจากแอตเลติโก มาดริด เมื่อปี 2011 ด้วยค่าตัว 18.9 ล้านปอนด์ อันเป็นสถิติสูงที่สุดในตำแหน่งผู้รักษาประตูของลีกอังกฤษสมัยนั้น แม้จะเริ่มต้นในอังกฤษไม่ดีเท่าไหร่ เมื่อเขามักจะพลาดในจังหวะออกมาตัดลูกกลางอากาศอยู่เสมอ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและได้รับโอกาสให้ลงสนามเป็นประจำก็ช่วยให้เขาปรับตัวและก้าวขึ้นมาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 ได้อย่างสมบูรณ์ จนสามารถคว้าแชมป์ได้ทุกรายการบนเกาะอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 1 สมัย, แชมป์เอฟเอคัพ 1 สมัย และแชมป์ลีกคัพ 1 สมัย รวมไปถึงแชมป์ยูโรป้าลีกอีก 1 สมัย เป็นผู้เล่นปีศาจแดงคนแรกที่ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรถึง 4 สมัย และมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก 5 สมัย รวมถึงได้รับรางวัลถุงมือทองคำจากพรีเมียร์ลีก ด้วยผลงาน 18 คลีนชีต เมื่อฤดูกาล 2017-18

หลังจากเซ็นสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อย ผู้รักษาประตูจอมหนึบก็โพสต์ภาพตัวเองยืนอยู่กลางสนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดลงในไอจีส่วนตัว พร้อมแคปชั่นสั้น ๆ ว่า “บ้านของผม” ก่อนจะให้สัมภาษณ์ถึงการเซ็นสัญญาครั้งนี้ว่า “ผมมีช่วงเวลาที่ดีตลอด 8 ปีกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ และยังได้รับโอกาสให้สารต่อเกียรติยศต่าง ๆ ต่อไป ตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะได้โอกาสลงเล่นให้ทีมมากว่า 350 นัด ขณะนี้อนาคตของผมได้รับการเคลียร์อย่างชัดเจนแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการคือช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จ และผมเชื่อมั่นว่าจะสามารถคว้าแชมป์รายการต่าง ๆ ด้วยกันอีกมากมาย ซึ่งผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ลงเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้”

ปัจจุบันเด เคอา ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปแล้วทั้งสิ้น 372 นัด เก็บคลีนชีตได้ 136 ครั้ง และหากอยู่จนครบสัญญา จะทำให้เขาลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเกิน 10 ปี และจะมีสถิติเหนือกว่าอดีตผู้รักษาประตูระดับตำนานของสโมสรทั้งปีเตอร์ ชไมเคิล และเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ในเรื่องการลงสนามและการเก็บคลีนชีตแน่นอน

“เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์” กองหลังผู้ทำแอสซิสต์จนถูกบันทึกลงกินเนสส์บุ๊ค

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาวัย 21 ปี โชว์ผลงานกับลิเวอร์พูลได้อย่างสุดยอดเมื่อฤดูกาล 2018-19 โดยลงสนามในศึกพรีเมียร์ลีกไป 29 นัด ทำได้ 1 ประตู กับอีก 12 แอสซิสต์ จนกินเนสส์บุ๊คได้ทำการยกย่องให้เป็นกองหลังที่จ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้สูงที่สุดในหนึ่งฤดูกาล และบันทึกสถิติลงในกินเนสส์บุ๊ค เวิลด์ เรคคอร์ด 2020 ทำลายสถิติเดิมจำนวน 11 แอสซิสต์ที่สองแบ็กซ้ายของเอฟเวอร์ตันอย่างเลห์ตัน เบนส์ และแอนดี้ ฮินช์คลิฟฟ์ ทำไว้เมื่อฤดูกาล 2010-11 และ 1994-95 ตามลำดับ รวมทั้งมากกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่างแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายไปเพียงแอสซิสต์เดียวเท่านั้น

อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เข้าร่วมศูนย์ฝึกเยาวชนของลิเวอร์พูลตั้งแต่อายุ 6 ปี เขาได้รับเลือกจากเปปิน ลินเดอร์ส โค้ชชาวดัตช์ให้เป็นกัปตันทีมเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 และ 18 ปี และถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชนทุกรุ่น ต่อมาจึงถูกเจอร์เก้น คล็อปป์ดึงขึ้นมาเป็นแบ็กอัพให้ทีมชุดใหญ่สู้ศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016-17 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนามนัดแรกในเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-1 ในฟุตบอลลีกคัพ รอบที่ 4 จากนั้นก็ได้โอกาสประเดิมพรีเมียร์ลีกในนัดที่หงส์แดงบุกไปถล่มมิดเดิลสโบรห์ 3-0 และคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งประจำปีของสโมสรในฤดูกาลนั้นไปครอง ก่อนที่ฤดูกาลถัดมาจากปัญหาอาการบาดเจ็บของนาธาเนียล ไคลน์ ทำให้เขาได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง และสามารถยึดตำแหน่งแบ็กขวาตัวจริงของทีมมาจนปัจจุบัน แม้ปีที่แล้วลิเวอร์พูลจะทำได้เพียงแค่รองแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่พวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมาชดเชยแทนได้ โดยอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้หงส์แดงฝ่าด่านบาร์เซโลน่าในรอบตัดเชือกไปได้ จากจังหวะเปิดลูกเตะมุมเร็วช่วงท้ายเกมให้ดิว็อค โอริกี้ยิงเป็นประตูในขณะที่ทีมต่างดาวยังไม่ได้เซตเกมรับเลยด้วยซ้ำ

ถึงจะโดดเด่นในการเล่นตำแหน่งแบ็กขวา แต่ในช่วงวัยเด็กเขาก็เคยเล่นมาแล้วทั้งตำแหน่งปีกและมิดฟิลด์ตัวคุมเกม จึงไม่น่าแปลกใจที่จะสามารถผ่านบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างแม่นยำ โดยอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ไม่ได้เป็นแค่กองหลังที่ทำแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกได้สูงที่สุดในหนึ่งฤดูกาลเท่านั้น เมื่อยังเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถทำแอสซิสต์ได้ 3 ลูกในพรีเมียร์ลีกเพียงแมตช์เดียว ด้วยสถิติอายุ 20 ปี 4 เดือน กับอีก 20 วัน

แม้จะเป็นเจ้าของสถิติกินเนสส์บุ๊คเพียงผู้เดียว แต่อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ก็ไม่ลืมกล่าวขอบคุณเพื่อนร่วมทีมของเขาในระหว่างรับรางวัลนี้ “แน่นอนว่ารางวัลนี้ขึ้นอยู่กับเพื่อนร่วมทีมที่ต้องส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายด้วย ฟุตบอลเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีม หากไม่มีพวกเขาสถิตินี้ก็คงเกิดขึ้นไม่ได้”

ราฮีม สเตอร์ลิง…ลิเวอร์พูลยังเป็นความทรงจำที่ดีของผมเสมอ

แม้จะย้ายออกจากลิเวอร์พูลมากว่า 4 ปี แถมตอนแยกทางกันก็จบได้ไม่สวยสักเท่าไหร่ แต่ “ราฮีม สเตอร์ลิง” ก็ยังยืนยันว่าตัวเขามีความทรงจำที่ดีมากมายสมัยที่ยังสวมเครื่องแบบลิเวอร์พูล ไม่ใช่แค่การลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ แต่รวมไปถึงการลงสนามให้ทีมเยาวชนอีกด้วย และไม่เคยลืมว่าลิเวอร์พูลคือสโมสรที่ให้โอกาสในการเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับเขา

ช่วงต้นปี 2010 ราฟาเอล เบนิเตส ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในขณะนั้นเป็นคนตัดสินใจดึงตัวสเตอร์ลิงมาจากอคาเดมี่ของควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ด้วยค่าตัวเบื้องต้น 6 แสนปอนด์และเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านปอนด์ตามจำนวนการลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ แต่กุนซือชาวสเปนก็โดนเด้งออกจากตำแหน่งไปก่อนจะได้ใช้งานเขา สเตอร์ลิงเริ่มต้นเล่นในทีมเยาวชนอยู่ 2 ปี ก่อนจะก้าวมาเป็นกำลังหลักให้ทีมหงส์แดงชุดใหญ่ในยุคของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ปีกทีมชาติอังกฤษลงเล่นให้ลิเวอร์พูลไปกว่า 100 นัด ทำได้ 23 ประตู จนได้รับรางวัล “โกลเดน บอย” ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของยุโรปปี 2014 กลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่ถูกจับตามองมากที่สุด สวนทางกับสภาพทีมในขณะนั้นที่ต้องเสียศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งอย่างหลุยส์ ซัวเรสไปให้กับบาร์เซโลน่า ทำให้เกิดเป็นกระแสข่าวลือเกี่ยวกับอนาคตของสเตอร์ลิงอยู่บ่อยครั้ง แม้ลิเวอร์พูลจะพยายามรั้งปีกความเร็วสูงให้อยู่กับทีมต่อไปด้วยสัญญาฉบับใหม่ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจให้เขาอยู่กับทีมได้ จนสโมสรต้องตอบรับข้อเสนอ 49 ล้านปอนด์จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในที่สุด ทำให้สเตอร์ลิงกลายเป็นนักเตะอังกฤษที่มีค่าตัวสูงสุดทันที

สเตอร์ลิงได้อธิบายถึงการย้ายทีมครั้งนั้นว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะเป้าหมายที่เขาตั้งไว้มานานแล้วว่าหากอายุ 21 ปีแล้วยังไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใดได้ เขาจะประเมินทางเลือกของตัวเองทันที ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ยื่นข้อเสนอเข้ามาพอดี แถมยังเป็นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้เขาจึงเลือกที่จะคว้ามันไว้

แม้ช่วงแรกสเตอร์ลิงจะมีปัญหามากมายทั้งเรื่องปรับตัวกับทีมใหม่ และความกดดันจากค่าตัวมหาศาลของเขาเอง แต่เมื่อได้อยู่ภายใต้การดูแลของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ปีกทีมชาติอังกฤษพัฒนาตัวเองขึ้นอย่างมากจนเป็นนักเตะริมเส้นที่ไม่ได้มีดีแค่ความเร็วอีกต่อไป แต่ยังสามารถผลิตสกอร์ได้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้อยู่เสมอ จนสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, เอฟเอคัพ 1 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย และคอมมูนิตี้ชิลด์อีก 1 สมัย ประสบความสำเร็จได้อย่างที่ตั้งใจ

แม้จะมีลิเวอร์พูลอยู่ในความทรงจำ แต่ยามลงสนามพบกับอดีตต้นสังกัดสเตอร์ลิงก็มุ่งมั่นทุ่มเทเต็ม 100% จนสามารถยิงประตูลิเวอร์พูลได้เป็นครั้งแรกในการพบกันครั้งล่าสุดในศึกคอมมูนิตี้ชิลด์ ซึ่งเขายินดีมากกับประตูแรกที่ทำได้ และคาดหวังว่าจะทำประตูได้อีกในนัดต่อ ๆ ไปเมื่อทั้งคู่พบกัน