Tag Archives: เรอัล มาดริด

ติโบต์ กูร์กตัวส์ อดีตผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของโลกที่ยังหาฟอร์มเก่งของตัวเองไม่เจอ

 ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากแสนสาหัสกับชีวิตในถิ่นซานติอาโก เบอร์นาบิวของติโบต์ กูร์กตัวส์ เมื่อผู้รักษาประตูมือหนึ่งทีมชาติเบลเยี่ยมยังไม่อาจงัดฟอร์มเก่งเหมือนในฟุตบอลโลก 2018 ออกมาได้เลย นับตั้งแต่ย้ายมาจากเชลซีด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ตั้งแต่เมื่อปีก่อน โดยปีแรกภายใต้เครื่องแบบราชันชุดขาวเขาถูกส่งเฝ้าเสาไปทั้งสิ้น 35 นัด แต่สามารถเก็บคลีนชีตได้เพียง 10 เกม แถมยังถูกส่องตาข่ายจากคู่แข่งไปถึง 48 ประตู จนมาในปีนี้ทั้งที่เพิ่งลงสนามไปเพียง 9 นัด ก็ถูกคู่แข่งยิงไปแล้ว 12 ประตู แถมยังช่วยทีมป้องกันประตูได้เพียง 11 ครั้ง น้อยกว่าจำนวนประตูที่เสียให้คู่แข่งเสียอีก สิ้นลายเจ้าของรางวัล “โกลเด้น โกลฟ” จากฟุตบอลโลก 2018 อย่างหมดรูป

กูร์กตัวส์ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเฝ้าเสาประตูให้กับเชลซีและทีมชาติเบลเยี่ยม โดยเขามีส่วนช่วยให้ทีมสิงโตน้ำเงินครามคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 2 สมัย ตามด้วยแชมป์เอฟเอคัพ และลีกคัพ อย่างละ 1 สมัย จนได้รางวัลถุงมือทองคำจากพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016-17 ด้วยผลงาน 16 คลีนชีต และคว้ารางวัลถุงมือทองคำในศึกฟุตบอลโลก 2018 จากผลงาน 27 เซฟใน 7 เกม ช่วยให้เบลเยี่ยมครองอันดับ 3 ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนั้น ก่อนจะได้รับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าไปครองอีกรางวัล จนเรอัล มาดริดอดใจไม่ไหวต้องกระชากตัวไปร่วมทีมในที่สุด

การแยกทางของเชลซีกับกูร์กตัวส์นั้นจบไม่สวยสักเท่าไหร่ แม้ผู้รักษาประตูมือหนึ่งจะให้เหตุผลการย้ายทีมครั้งนี้ว่าเพื่อต้องการใช้เวลาร่วมกับลูกทั้ง 2 คนที่อาศัยอยู่ในกรุงมาดริดก็ตาม แต่การไม่เดินทางมารายงานตัวซ้อมกับต้นสังกัดเพื่อบีบให้เกิดการย้ายทีมก็ดูจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย แถมยังให้สัมภาษณ์ในเชิงว่าเรอัล มาดริด เหนือกว่าอดีตต้นสังกัดอย่างมาก จนได้รับการสาปส่งจากแฟนบอลเชลซีอย่างล้นหลาม

การย้ายร่วมทีมเรอัล มาดริดครั้งนี้นับเป็นการย้ายมาสเปนเป็นหนที่สองของกูร์กตัวส์ หลังจากผู้รักษาประตูชาวเบลเยี่ยมเคยลงเล่นให้กับแอตเลติโก มาดริดด้วยสัญญายืมตัวถึง 3 ซีซั่น โดยสามารถคว้าแชมป์ลาลีกา, แชมป์โคปา เดล เรย์, แชมป์ยูโรป้าลีก และแชมป์ซุปเปอร์ คัพ ได้อย่างละ 1 สมัย เรียกได้ว่ามีประสบการณ์กับฟุตบอลสเปนอย่างโชกโชนทีเดียว จึงน่าแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมเขาจึงประสบความล้มเหลวในยามลงเล่นให้อีกทีมร่วมเมืองหลวงของสเปนชนิดที่หน้ามือเป็นหลังมือ ถึงขนาดโดนยิงไปถึง 9 ประตูจากการถูกคู่แข่งยิงตรงกรอบ 14 ครั้งหลังสุด

ต้องรอดูว่าฟลอเรนติโน เปเรซ หัวเรือใหญ่ของราชันชุดขาวจะอดทนกับผู้รักษาประตูที่เขาเลือกมาด้วยตัวเองอีกนานเท่าไหร่ และหากกูร์กตัวส์ยังไม่อาจเรียกฟอร์มเก่งของตัวเองกลับมาได้โดยเร็ว ก็มีสิทธิ์ถูกโละทิ้งจากทีมในไม่ช้า เพราะขนาดอิเคร์ กาซิยาส ผู้รักษาประตูระดับตำนานของทีมยังถูกบีบให้ย้ายทีมอย่างไม่ใยดีเมื่อไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป

“คาเซมิโร่” มิดฟิลด์ตัวรับที่ได้ดีจากคำโกหก

คาเซมิโร่ ถือเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวรับเบอร์ต้น ๆ ของโลก และเป็นนักเตะที่เรอัล มาดริดจะขาดไม่ได้ในแต่ละนัด เขาลงสนามรับใช้ทีมราชันชุดขาวไปมากกว่า 200 นัด ทำประตูคู่แข่งไปได้ 20 ประตู แต่ก่อนที่กองกลางทีมชาติบราซิลจะประสบความสำเร็จในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับอย่างทุกวันนี้ เขายอมรับว่าเคยโกหกเรื่องตำแหน่งการเล่นของตัวเองในสมัยวัยเด็ก

คาเซมิโร่ เล่าว่าในวัยเด็กเขาเคยเล่นในตำแหน่งกองหน้ามาก่อน จนกระทั่งตอนอายุ 11 ปี เขาได้เข้าร่วมการทดสอบฝีเท้ากับทีมเซา เปาโล สโมสรชั้นนำของประเทศบราซิล โดยมีนักเตะเยาวชนจากทั่วประเทศกว่า 300 ชีวิตเดินทางมาเข้ารับการคัดตัวครั้งนั้น แต่ทางสโมสรมีความตั้งใจว่าจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 50 คนเท่านั้นที่จะได้เข้าสู่ทีมเยาวชน ก่อนเริ่มการทดสอบโค้ชได้ถามถึงตำแหน่งการเล่นของแต่ละคน โดยเริ่มจากผู้รักษาประตูที่มีคนยกมือเพียง 3 คน ตามมาด้วยตำแหน่งกองหน้าซึ่งมีคนยกมือถึง 50 คน เมื่อเห็นว่ามีการแข่งขันกันสูงเขาจึงเลือกที่จะเอามือลง ต่อมาเป็นตำแหน่งเบอร์ 10 ก็มีคนยกมืออีก 50 คน จนกระทั่งมาถึงตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ มีคนยกมือเพียง 8 คนเท่านั้น เขาจึงรีบยกมือและเลือกเล่นตำแหน่งนี้ทั้งที แม้บรรดาโค้ชจะบอกว่าร่างกายของเขาเหมาะสำหรับเล่นในตำแหน่งกองหน้า แต่เขาก็ยืนกรานว่าเขาจะเป็นกองกลางตัวรับ จนในที่สุดเขาก็ได้รับเลือกเขาสู่ทีมเยาวชนของเซา เปาโลและเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวตัดเกมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

คาเซมิโร่ถูกเลือกให้เป็นกัปตันทีมเยาวชนของเซา เปาโล ในปี 2009 เขาก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิลชุดเยาวชนในศึกฟุตบอลโลกอายุต่ำกว่า 17 ปี ที่ประเทศไนจีเรีย ก่อนจะถูกโปรโมทขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของเซา เปาโลในปีต่อมา จนกระทั้งเรอัล มาดริดดึงไปร่วมทีมในปี 2013 ด้วยค่าตัว 18.738 ล้านเรียล ก่อนจะถูกส่งไปเก็บประสบการณ์กับทีมปอร์โต ในลีกโปรตุเกส ด้วยสัญญายืมตัวทั้งฤดูกาล 2014-15 เมื่อกลับมาสวมเครื่องแบบราชันชุดขาวอีกครั้งเขาก็เริ่มฉายแววการเป็นมิดฟิลด์ตัวรับระดับโลก ในจังหวะเดียวกับที่ซามิ เคดิร่า มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมันเจ้าของตำแหน่งเดิมอำลาทีมไป คาเซมิโร่ก็ก้าวขึ้นมาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับหมายเลขหนึ่งของทีมอย่างไร้รอยต่อในยุคของซีเนดีน ซีดาน และถือเป็นผู้ปิดทองหลังพระช่วยให้เรอัล มาดริดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ถึง 3 สมัยติดต่อกัน รวมไปถึงแชมป์ลาลีกาอีก 1 สมัย

น่าคิดว่าหากคาเซมิโร่ไม่เลือกโกหกโค้ชแล้วเปลี่ยนมาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับตั้งแต่วัยเด็ก โดยยืนยันที่จะเล่นในตำแหน่งกองหน้าอันเป็นตำแหน่งที่โปรดปรานของเด็กส่วนใหญ่ต่อไป ตอนนี้เขาจะไปค้าแข้งอยู่กับทีมใด แต่ที่แน่ ๆ จากฟอร์มการยิงประตูของเขาแล้ว คงไม่อาจช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ได้มากมายเหมือนที่เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับให้กับเรอัล มาดริดแน่นอน

เมื่อมหากาพย์ อาซาร์ มาดริด กลับมาอีกครั้ง

ภายหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่ทางสโมสร เรอัล มาดริด ประกาศการแต่งตั้ง ซีเนดีน ซีดาน กลับมานำทัพเหล่านักเตะราชัน ชุดขาว อีกครั้ง เริ่มมีกระแสที่สื่อสเปนหลายสำนักต่างรายงานตรงกันถึงเงื่อนไขที่ทาง ซีดาน ตั้งไว้กับฝ่ายบริหารว่า จะต้องเดินหน้าเซ็นสัญญานักเตะที่เขาต้องการอันดับหนึ่งมาโดยตลอดอย่าง เอแด็น อาซาร์ ให้ได้ จนกลายมาเป็นการจุดกระแสให้แฟนบอลพูดถึงข่าวการซื้อขายระหว่าง เรอัล มาดริด ที่ต้องการกระชาก อาซาร์ มาจากอ้อมอกสโมสร เชลซี หลังจากที่เป็นข่าวกันมาเนิ่นนานอีกครั้ง

นอกจากนี้ยังถูกสุมไฟให้กระแสข่าวมีความร้อนแรงยิ่งขึ้นจากประโยคที่ดาวเตะเชลซีให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงคำถามที่ว่า ถ้าให้เลือกระหว่าง โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือทีมชาติเบลเยียม หรือ ซีดาน คุณอยากได้ใครเป็นผู้จัดการทีมมากกว่ากัน โดย อาซาร์ ได้กล่าวว่า “ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ เราไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้ แต่ผมนับถือซีดานเป็นพิเศษ เขาเป็นต้นแบบของผม และทำให้ผมเริ่มหันมาเล่นฟุตบอล”

                โดยทางสื่อสำนักดังของทางสเปน ได้จัดการสำรวจแฟนบอลของ เรอัล มาดริด ว่า ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทางสโมสรซื้อใครเข้ามาเป็นรายแรกในตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์นี้ ผลปรากฏว่าแฟนบอลสโมสรกว่าครึ่งโหวตให้ เอแด็น อาซาร์ มาเป็นอันดับหนึ่งที่ต้องการได้มาร่วมทัพในช่วงตลาดซื้อขายรอบที่จะถึงนี้ โดยคะแนนออกมาแซงหน้า เนย์มาร์ ดาวเตะชาวบราซิลอย่างขาดลอย

                แล้วเหตุใด ซีเนดีน ซีดาน และเหล่าแฟนบอล เรอัล มาดริด ถึงต้องการตัวนักเตะรายนี้

                จากการรวบรวมสถิติตลอดการลงเล่นให้กับสโมสรเชลซีในฤดูกาล 2018/2019 จะพบว่า เอแด็น อาซาร์ มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูที่ทางสโมสรทำได้เฉลี่ยสูงถึง 0.9 ประตูต่อเกม สร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมเฉลี่ยต่อเกม 2.6 ครั้ง และมีสถิติการเลี้ยงผ่านคู่แข่งมากถึง 3.2 ครั้งต่อเกม ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ดาวเตะชาวเบลเยียมรายนี้เป็นส่วนสำคัญในเกมรุกของทางสโมสร เชลซี อย่างมาก

                ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับเหล่าแนวรุกปัจจุบันที่อยู่กับสโมสร เรอัล มาดริด มาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็น แกเร็ธ เบล หรือ คาริม เบนเซม่า ก็ไม่มีใครที่มีสถิติการมีส่วนร่วมในเกมรุกได้มากเท่ากับ อาซาร์ โดย แกเร็ธ เบล และ คาริม เบนเซม่า นั้น มีสถิติการมีส่วนรวมกับประตูต่อเกมอยู่ที่ 0.5 และ 0.6 ตามลำดับ ขณะที่สถิติด้านการสร้างสรรค์โอกาส มีสถิติต่อเกมอยู่ที่ 0.7 ครั้ง และ 1.5 ครั้งตามลำดับ และสามารถเลี้ยงผ่านคู่แข่งต่อเกมได้เพียง 0.8 และ 1.1 ครั้งตามลำดับเท่านั้น

                ก็ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมผู้จัดการทีมและเหล่าสาวกของสโมสร เรอัล มาดริด ถึงอยากที่จะให้สโมสรคว้าตัว อาซาร์ มาร่วมทีม เพราะภายหลังการสูญเสียสุดยอดผู้เล่นในแนวรุกอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปให้กับทาง ยูเวนตุส สโมสรก็ไม่สามารถหาคนที่มาทดแทนประสิทธิภาพในเกมรุกที่ขาดหายไปได้อีกเลย ดังนั้น เอแด็น อาซาร์ จึงเปรียบเสมือนแสงสว่างที่จะเข้ามานำพาสโมสร กลับไปครองความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง