Tag Archives: ลิเวอร์พูล

“เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์” กองหลังผู้ทำแอสซิสต์จนถูกบันทึกลงกินเนสส์บุ๊ค

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาวัย 21 ปี โชว์ผลงานกับลิเวอร์พูลได้อย่างสุดยอดเมื่อฤดูกาล 2018-19 โดยลงสนามในศึกพรีเมียร์ลีกไป 29 นัด ทำได้ 1 ประตู กับอีก 12 แอสซิสต์ จนกินเนสส์บุ๊คได้ทำการยกย่องให้เป็นกองหลังที่จ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้สูงที่สุดในหนึ่งฤดูกาล และบันทึกสถิติลงในกินเนสส์บุ๊ค เวิลด์ เรคคอร์ด 2020 ทำลายสถิติเดิมจำนวน 11 แอสซิสต์ที่สองแบ็กซ้ายของเอฟเวอร์ตันอย่างเลห์ตัน เบนส์ และแอนดี้ ฮินช์คลิฟฟ์ ทำไว้เมื่อฤดูกาล 2010-11 และ 1994-95 ตามลำดับ รวมทั้งมากกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่างแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายไปเพียงแอสซิสต์เดียวเท่านั้น

อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เข้าร่วมศูนย์ฝึกเยาวชนของลิเวอร์พูลตั้งแต่อายุ 6 ปี เขาได้รับเลือกจากเปปิน ลินเดอร์ส โค้ชชาวดัตช์ให้เป็นกัปตันทีมเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 และ 18 ปี และถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชนทุกรุ่น ต่อมาจึงถูกเจอร์เก้น คล็อปป์ดึงขึ้นมาเป็นแบ็กอัพให้ทีมชุดใหญ่สู้ศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016-17 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนามนัดแรกในเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-1 ในฟุตบอลลีกคัพ รอบที่ 4 จากนั้นก็ได้โอกาสประเดิมพรีเมียร์ลีกในนัดที่หงส์แดงบุกไปถล่มมิดเดิลสโบรห์ 3-0 และคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งประจำปีของสโมสรในฤดูกาลนั้นไปครอง ก่อนที่ฤดูกาลถัดมาจากปัญหาอาการบาดเจ็บของนาธาเนียล ไคลน์ ทำให้เขาได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง และสามารถยึดตำแหน่งแบ็กขวาตัวจริงของทีมมาจนปัจจุบัน แม้ปีที่แล้วลิเวอร์พูลจะทำได้เพียงแค่รองแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่พวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมาชดเชยแทนได้ โดยอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้หงส์แดงฝ่าด่านบาร์เซโลน่าในรอบตัดเชือกไปได้ จากจังหวะเปิดลูกเตะมุมเร็วช่วงท้ายเกมให้ดิว็อค โอริกี้ยิงเป็นประตูในขณะที่ทีมต่างดาวยังไม่ได้เซตเกมรับเลยด้วยซ้ำ

ถึงจะโดดเด่นในการเล่นตำแหน่งแบ็กขวา แต่ในช่วงวัยเด็กเขาก็เคยเล่นมาแล้วทั้งตำแหน่งปีกและมิดฟิลด์ตัวคุมเกม จึงไม่น่าแปลกใจที่จะสามารถผ่านบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างแม่นยำ โดยอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ไม่ได้เป็นแค่กองหลังที่ทำแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกได้สูงที่สุดในหนึ่งฤดูกาลเท่านั้น เมื่อยังเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถทำแอสซิสต์ได้ 3 ลูกในพรีเมียร์ลีกเพียงแมตช์เดียว ด้วยสถิติอายุ 20 ปี 4 เดือน กับอีก 20 วัน

แม้จะเป็นเจ้าของสถิติกินเนสส์บุ๊คเพียงผู้เดียว แต่อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ก็ไม่ลืมกล่าวขอบคุณเพื่อนร่วมทีมของเขาในระหว่างรับรางวัลนี้ “แน่นอนว่ารางวัลนี้ขึ้นอยู่กับเพื่อนร่วมทีมที่ต้องส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายด้วย ฟุตบอลเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีม หากไม่มีพวกเขาสถิตินี้ก็คงเกิดขึ้นไม่ได้”

ราฮีม สเตอร์ลิง…ลิเวอร์พูลยังเป็นความทรงจำที่ดีของผมเสมอ

แม้จะย้ายออกจากลิเวอร์พูลมากว่า 4 ปี แถมตอนแยกทางกันก็จบได้ไม่สวยสักเท่าไหร่ แต่ “ราฮีม สเตอร์ลิง” ก็ยังยืนยันว่าตัวเขามีความทรงจำที่ดีมากมายสมัยที่ยังสวมเครื่องแบบลิเวอร์พูล ไม่ใช่แค่การลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ แต่รวมไปถึงการลงสนามให้ทีมเยาวชนอีกด้วย และไม่เคยลืมว่าลิเวอร์พูลคือสโมสรที่ให้โอกาสในการเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับเขา

ช่วงต้นปี 2010 ราฟาเอล เบนิเตส ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในขณะนั้นเป็นคนตัดสินใจดึงตัวสเตอร์ลิงมาจากอคาเดมี่ของควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ด้วยค่าตัวเบื้องต้น 6 แสนปอนด์และเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านปอนด์ตามจำนวนการลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ แต่กุนซือชาวสเปนก็โดนเด้งออกจากตำแหน่งไปก่อนจะได้ใช้งานเขา สเตอร์ลิงเริ่มต้นเล่นในทีมเยาวชนอยู่ 2 ปี ก่อนจะก้าวมาเป็นกำลังหลักให้ทีมหงส์แดงชุดใหญ่ในยุคของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ปีกทีมชาติอังกฤษลงเล่นให้ลิเวอร์พูลไปกว่า 100 นัด ทำได้ 23 ประตู จนได้รับรางวัล “โกลเดน บอย” ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของยุโรปปี 2014 กลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่ถูกจับตามองมากที่สุด สวนทางกับสภาพทีมในขณะนั้นที่ต้องเสียศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งอย่างหลุยส์ ซัวเรสไปให้กับบาร์เซโลน่า ทำให้เกิดเป็นกระแสข่าวลือเกี่ยวกับอนาคตของสเตอร์ลิงอยู่บ่อยครั้ง แม้ลิเวอร์พูลจะพยายามรั้งปีกความเร็วสูงให้อยู่กับทีมต่อไปด้วยสัญญาฉบับใหม่ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจให้เขาอยู่กับทีมได้ จนสโมสรต้องตอบรับข้อเสนอ 49 ล้านปอนด์จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในที่สุด ทำให้สเตอร์ลิงกลายเป็นนักเตะอังกฤษที่มีค่าตัวสูงสุดทันที

สเตอร์ลิงได้อธิบายถึงการย้ายทีมครั้งนั้นว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะเป้าหมายที่เขาตั้งไว้มานานแล้วว่าหากอายุ 21 ปีแล้วยังไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใดได้ เขาจะประเมินทางเลือกของตัวเองทันที ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ยื่นข้อเสนอเข้ามาพอดี แถมยังเป็นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้เขาจึงเลือกที่จะคว้ามันไว้

แม้ช่วงแรกสเตอร์ลิงจะมีปัญหามากมายทั้งเรื่องปรับตัวกับทีมใหม่ และความกดดันจากค่าตัวมหาศาลของเขาเอง แต่เมื่อได้อยู่ภายใต้การดูแลของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ปีกทีมชาติอังกฤษพัฒนาตัวเองขึ้นอย่างมากจนเป็นนักเตะริมเส้นที่ไม่ได้มีดีแค่ความเร็วอีกต่อไป แต่ยังสามารถผลิตสกอร์ได้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้อยู่เสมอ จนสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, เอฟเอคัพ 1 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย และคอมมูนิตี้ชิลด์อีก 1 สมัย ประสบความสำเร็จได้อย่างที่ตั้งใจ

แม้จะมีลิเวอร์พูลอยู่ในความทรงจำ แต่ยามลงสนามพบกับอดีตต้นสังกัดสเตอร์ลิงก็มุ่งมั่นทุ่มเทเต็ม 100% จนสามารถยิงประตูลิเวอร์พูลได้เป็นครั้งแรกในการพบกันครั้งล่าสุดในศึกคอมมูนิตี้ชิลด์ ซึ่งเขายินดีมากกับประตูแรกที่ทำได้ และคาดหวังว่าจะทำประตูได้อีกในนัดต่อ ๆ ไปเมื่อทั้งคู่พบกัน

ชีวิตดั่งรถไฟเหาะของ “อาเดรียน” ผู้รักษาประตูฟ้าลิขิต

ชัยชนะของลิเวอร์พูลเหนือคู่แข่งร่วมลีกอย่างเชลซีในนัดชิงแชมป์ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ 2019 ไม่เพียงแต่เป็นแชมป์รายการแรกในฤดูกาลใหม่ของลิเวอร์พูลเท่านั้น แต่ยังเป็นแชมป์รายการแรกในชีวิตค้าแข้งของ “อาเดรียน” ผู้รักษาประตูคนใหม่ ที่ได้โอกาสลงเฝ้าเสาในเกมนั้นอีกด้วย

                อาเดรียน เริ่มต้นเล่นฟุตบอลในวัยเด็กด้วยตำแหน่งศูนย์หน้าและปีก แต่เมื่อผู้รักษาประตูประจำทีมย้ายออกไป เขาจึงได้ย้ายมาประจำตำแหน่งผู้รักษาประตูแทน ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ อาเดรียนได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะเยาวชนของ รีล เบติส ตั้งแต่อายุ 11 ปี จนกระทั้งได้รับโอกาสประเดิมสนามในฐานะผู้รักษาประตูมือหนึ่งของรีล เบติส ในปี 2012 เก็บคลีนชีทไปได้ 11 นัด ถือเป็นกำลังสำคัญช่วยให้ทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 ของลาลีก้า และได้ไปแข่งขันฟุตบอลยูโรปาในฤดูกาลถัดไป โดยไฮไลท์สำคัญอยุ่ที่นัดเปิดบ้านชนะรีล มาดริดด้วยสกอร์ 1-0 โดยนัดนี้อาเดรียนได้รับตำแหน่งแมนออฟเดอะแมตช์

                ในปี 2013 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ “แซม อัลลาร์ไดซ์” คว้าตัวอาเดรียนสู่เกาะอังกฤษและถูกส่งลงเล่นทันทีในเกมลีกคัพ ซึ่งสามารถเอาชนะเชลเทนแฮม ทาวน์ผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะถูกเลือกให้เปิดตัวบนเวทีพรีเมียร์ลีกช่วงคริสมาสต์ในเกมใหญ่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนยึดตำแหน่งผู้รักษาประตูมือหนึ่งมาครองได้ในที่สุด แถมยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเวสต์แฮมตั้งแต่ปีแรก ก่อนจะพ่ายให้กับ “มาร์ค โนเบิล” กัปตันผู้แบกทีมจนรอดจากการตกชั้น ตลอดระยะเวลา 6 ปี อาเดรียน ลงเฝ้าเสาประตูให้ขุนค้อนไปสิ้น 125 นัด ก่อนจะเสียตำแหน่งให้กับ “ลูคัส ฟาเบียนสกี้” จนไม่มีโอกาสลงสนามในพรีเมียร์ลีกทั้งฤดูกาล 2018-19 และถูกปล่อยตัวออกจากทีมหลังหมดสัญญา

                ผู้รักษาประตูชาวสเปนกลายเป็นนักเตะฟรีเอเยนต์ ต้องลงซ้อมกับโค้ชผู้รักษาประตูส่วนตัวเพื่อเรียกความฟิตระหว่างรอการติดต่อจากสโมสรต่าง ๆ และก็เป็นลิเวอร์พูลที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาเพื่อให้เป็นตัวแทน “ซิมง มิโญเล่ต์” ผู้รักษาประตูมือสองที่ย้ายสำมะโนครัวกลับภูมิลำเนาไป เขาไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสอันงามนี้ไว้ แม้รู้ดีว่าคงไม่มีโอกาสให้ลงแสดงฝีมือมากนัก เห็นได้จากปีก่อนที่ “อลิสซอน เบ็คเกอร์” ถูกส่งลงสนามไปถึง 51 นัด แต่แล้วโชคชะตาก็เป็นใจเมื่อผู้รักษาประตูทีมชาติบราซิลมีอาการบาดเจ็บตั้งแต่นัดเปิดสนามจนต้องเปลี่ยนตัวออก ซึ่งคาดว่าต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บเป็นเดือน

                อาเดรียนถูกเปลี่ยนลงสนามในนาทีที่ 39 ได้โอกาสลงสนามรับใช้ลิเวอร์พูลตั้งแต่นัดแรกหลังเซ็นสัญญาร่วมทีมเพียง 4 วัน ก่อนจะได้เป็นตัวจริงครั้งแรกในเกมถัดไปกับเชลซี โดยเซฟจุดโทษลูกสุดท้ายของ “แทมมี่ อับราฮัม” ส่งหงส์แดงเป็นแชมป์ซุปเปอร์คัพในที่สุด กลายเป็นฮีโร่สำหรับแฟนบอลและเซียนพนันในเว็บ VWIN ในชั่วข้ามคืน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันยังเป็นนักเตะไร้สังกัดอยู่เลย แต่เหมือนสวรรค์จะเล่นตลกไม่เลิกเมื่อเจอกับเซาแธมป์ตันในเกมต่อมา จากจังหวะส่งคืนหลังธรรมดา อาเดรียนดันเตะเคลียร์บอลไปติด “แดนนี่ อิงส์” เข้าประตูไป ดีที่ทีมทำประตูตุนไว้ก่อนจึงเก็บชัยชนะไว้ได้ แม้หลังเกม “เจอร์เกน คล็อปป์” จะให้สัมภาษณ์ถึงจังหวะนั้นว่าไม่มีปัญหาอะไรตราบที่ทีมยังเก็บชัยชนะได้อยู่ แต่ฮีโร่จากนัดก่อนก็ไม่รอดจากการุมถล่มอย่างหนักจากแฟนหงส์แดง

                ช่วงเวลาเพียง 2 สัปดาห์ มีทั้งความสำเร็จและความผิดพลาดผ่านเข้ามา ถือเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้รักษาประตูวัย 32 ปี ต้องรอดูว่าเขาจะใช้โอกาสที่ยังอยู่ในมือสร้างประโยชน์ให้ตัวเองได้ขนาดไหน ซึ่งผลงานในสนามจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ผลงานแย่จริงหรอ ?

จากผลงานในฤดูกาล 2017/2018 เรียกได้ว่าโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ดาวยิงชาวอียิปต์เป็นส่วนสำคัญของทัพสโมสรหงส์แดง ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง โดยในฤดูกาล 2017/2018 ถือว่าเป็นหนึ่งในแนวรุกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก การันตีผลงานจากการเล่นจู่โจมและสวนกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยิงประตูให้สโมสรอย่างถล่มทลายจนคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของยุโรปมาครอง

                ด้วยแผนการเล่นที่ผู้จัดการทีมอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เข้ามาปลี่ยนแปลงสโมสร ลิเวอร์พูล ให้เน้นเกมรุก เข้า
เพรสซิ่งดุดัน และเข้าจู่โจมสวนกลับอย่างรวดเร็วด้วยปีกทั้งสองข้างมากขึ้น ทำให้ปีกที่มีความเร็วอยู่แล้วอย่าง
โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ สามารถรีดเร้นศักยภาพออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จนทำให้บรรดากองหลังฝ่ายตรงข้ามต้องผวาทุกครั้งเมื่อลูกบอลถูกส่งมาที่เขา

                ต่อมาเมื่อฤดูกาล 2018/2019 ได้เปิดฉากขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของแฟน ๆ ว่า ดาวเตะชาวอียิปต์รายนี้ จะยังคงประสิทธิภาพในการผลิตประตูให้กับสโมสรได้เหมือนดั่งที่ผ่านมา แต่พอเวลาล่วงเลยไป กลับพบว่าสิ่งที่คาดหวังเริ่มสวนทางกับความเป็นจริง เมื่อผลงานด้อยลงจนทำให้สื่อหลาย ๆ สำนักรวมถึงเหล่าแฟนบอลตั้งคำถามว่า แล้วโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ที่เคยเป็นเครื่องจักรถล่มประตูหายไปไหน

                จากสถิติของฤดูกาลนี้ เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว ต้องยอมรับว่าจำนวนการมีส่วนร่วมกับประตูที่ทำได้ของสโมสร ลดลงไปอย่างน่าใจหาย เมื่อในฤดูกาล 2017/2018 ซาล่าห์ มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูของสโมสรทั้งสิ้น 1.2 ประตูต่อเกม เมื่อเทียบกับในฤดูกาลนี้พบว่า สถิติในการมีส่วนร่วมกับประตูลดลงเหลือเพียง 0.6 ประตู ต่อเกมเท่านั้น

                แต่ถ้าเรามองในอีกมุม เจาะลึกถึงข้อมูลทางสถิติลงไปมากกว่านั้น ในฤดูกาลที่แล้ว ซาล่าห์ มีสถิติในการจ่ายลูกสำคัญต่อเกมอยู่ที่ 1.7 ครั้ง เลี้ยงผ่านคู่แข่ง 2.2 ครั้ง และมีโอกาสยิง 4 ครั้งต่อเกม เมื่อนำมาเทียบกับในฤดูกาลนี้จะพบว่า
โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ มีสถิติในการจ่ายลูกสำคัญต่อเกมอยู่ที่ 1.8 ครั้ง เลี้ยงผ่านคู่แข่ง 2.1 ครั้ง และมีโอกาสยิง 3.5 ครั้งต่อเกม ซึ่งก็ถือได้ว่าในแง่ศักยภาพการเล่นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม แล้วอะไรที่ทำให้ประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมกับประตูของเจ้าตัวลดลง

                คำตอบที่ง่ายที่สุดสำหรับเรื่องนี้ คือ เพราะทีมคู่ต่อสู้เริ่มเกิดความชิน

                ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่บรรดาผู้เล่นที่ฟอร์มร้อนแรงกับสโมสรในฤดูกาลแรก กลับฟอร์มตกลงไปอย่างใจหายในฤดูกาลต่อมา เพราะเมื่อบรรดาทีมฝ่ายตรงข้ามเริ่มเกิดความคุ้นชิน บวกกับมีเวลาได้แก้ไข เตรียมตัวที่จะมารับมือมากขึ้น ก็ย่อมส่งผลต่อความยากลำบากมากขึ้นในการเล่น ดังจะเห็นได้จากบรรดาผู้เล่นในอดีตมากมายที่เคยเผชิญกับปัญหานี้กันมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ดีเอโก้ คอสต้า อดีตศูนย์หน้า เชลซี ที่ในฤดูกาลแรกจัดการซัดไปถึง 20 ประตู จากการลงเป็นตัวจริง 24 เกม แต่ในฤดูกาลต่อมากลับยิงประตูได้เพียง 12 ประตู จากการลงเป็นตัวจริง 27 เกม เท่านั้น

                จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าทาง ซาล่าห์ ไม่ได้มีศักยภาพในการเป็นนักเตะที่แย่ลง หรือฝีเท้าที่ผ่านมาไม่ใช่ของจริงแต่อย่างใด ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นในวงการฟุตบอลให้แฟนบอลได้เห็นกันแทบทุกปี และถ้าว่ากันตามจริง หากผลงานการทำประตูที่ติดอันดับต้น ๆ ของลีกในเวลานี้ยังไม่ดีพอ คงต้องย้อนกลับมาถามว่า แล้วในปัจจุบัน จะมีนักเตะซักกี่รายที่มีความสามารถเหนือกว่าชายคนนี้ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์

เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ตัวเต็งรางวัลแข้งยอดเยี่ยมพีเอฟเอ 2018/2019

นับจากวันที่มีข่าวว่าทางสโมสร ลิเวอร์พูล ที่นำทัพโดย เจอร์เก้น คล็อปป์ ดึงดันในการติดต่อขอเจรจาซื้อตัว
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังชาวเนเธอร์แลนด์ให้ได้โดยที่ไม่มีเป้าหมายสำรอง จนเป็นเหตุให้ถึงกับต้องทุ่มเงินเป็นมูลค่าสูงถึง 75 ล้านปอนด์ และสร้างความสงสัยให้กับเหล่าแฟนบอลถึงเหตุผลในการซื้อตัวดาวเตะรายนี้

                แต่ใช้เวลาเพียงไม่นาน เหล่าแฟนบอลทั้งหลายทั่วโลกต่างได้พบคำตอบว่า ทำไมสโมสร ลิเวอร์พูล ถึงต้องทุ่มเงินมากมายมหาศาลถึงขนาดนี้ให้กับนักเตะตำแหน่งกองหลังเพียงรายเดียว

จากผลงานอันยอดเยี่ยมตลอดการค้าแข้งตั้งแต่ย้ายเข้ามาร่วมกับสโมสรอย่าง ลิเวอร์พูล ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงฤดูกาลนี้ ทำให้เหล่านักวิจารณ์ สื่อมวลชน และบริษัทรับพนันถูกกฎหมายของทางอังกฤษ ต่างยกให้ปราการหลังเจ้าของสถิติโลก เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018/2019

                เหตุใด เขาจึงได้รับการยกย่องมากขนาดนี้ ?

                ส่วนหนึ่งคงหนีไม่พ้นเหตุผลที่ว่า เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญมากของทีม ลิเวอร์พูล ในการเข้ามาปรับปรุงแก้ไข ขันเกมรับให้แน่น เพื่อให้เพื่อนร่วมทีมสามารถทำเกมรุกได้โดยไม่ต้องมาคอยกังวลเวลาโดนการสวนกลับของทีมคู่แข่ง พร้อมทั้งยังยกระดับทีมให้สามารถขึ้นมาต่อกรกับแชมป์เก่าอย่างสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อท้าชิงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีก

                นอกจากรูปแบบการเล่นที่มีความครบเครื่องในด้านความเร็ว การเล่นลูกกลางอากาศ ความนิ่ง และการยืนตำแหน่ง
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ยังถือเป็นกองหลังที่สามารถจ่ายบอลจากแดนหลังได้อย่างแม่นยำ และคอยสนับสนุนคู่หูในแนวรับของตัวเองได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่ามีความสามารถแทบทุกอย่างที่กองหลังควรจะมีอยู่ในตัวเขาเพียงผู้เดียว

                จากสถิติต่อเกมจะพบว่า ฟาน ไดค์ ชนะการดวลกลางอากาศเฉลี่ยถึง 4.7 ครั้ง และมีสถิติการจ่ายบอลยาวจากแดนหลังสูงถึง 5.7 ครั้งต่อเกม ยิ่งไปกว่านั้น จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของปราการหลังชาวดัตช์รายนี้คือ การเคลียร์บอลอันตรายที่อาจก่อให้เกิดปัญหาภายหลัง โดยพบว่ามีสถิติการเคลียร์บอลอันตรายสูงถึง 5.3 ครั้งต่อเกม และทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้น อยู่ภายใต้เงื่อนไขการทำฟาวล์ที่เจ้าตัวทำไปเพียง 0.4 ครั้งต่อเกมเท่านั้น

                เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของ ลิเวอร์พูล ได้เคยกล่าวถึงความยอดเยี่ยมของลูกทีมรายนี้ว่า “เขาอายุยังไม่มาก แต่กลับมีวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ สมรรถภาพร่างกายและความแข็งแรงทุกอย่างดีเยี่ยม คุณสามารถถ่ายทอดเรื่องราวเป็นหนังสือ เพื่อบรรยายถึงความสามารถของเขา ทักษะและความแข็งแกร่งที่เขามี รวมถึงเรื่องที่เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแค่ไหนได้ไม่รู้จบ”

                ทำให้ไม่น่าแปลกใจ ที่จากผลโหวตโดยแฟนบอลกว่า 18,000 คน โหวตให้ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ สมควรที่จะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018/2019 สูงถึง 81% รวมถึงสื่อมวลชน และนักวิเคราะห์ต่างให้ความเห็นว่า นี่คือตัวเต็งอันดับหนึ่งอย่างไม่มีข้อกังขาแน่นอน

นาบี้ เกอิต้า กองกลางคนใหม่ของหงส์แดงลิเวอร์พูล

หลังจากที่แฟนบอลหงส์แดง ลิเวอร์พูล ได้ทำใจและเช็ดน้ำตาหลังจากที่ผิดหวังอย่างช็อกสุด ๆ ในเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาไปแล้ว กุนซือเฮฟวี่ เมทัล อย่างคล็อปป์ ก็ได้เริ่มการเสริมทีมใหม่อย่างไม่หยุดทันที ตั้งแต่ตลาดเปิดมา ด้วยความตั้งใจที่จะหานักเตะใหม่ฝีเท้าดีมาผลักดันความฝันให้เป็นจริงในปีนี้ และนักเตะคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คงจะเป็น นาบี้ เกอิต้า กองกลางคนใหม่ที่อาจจะไม่ได้ชื่อดังนัก สำหรับหมู่กองเชียร์ของอังกฤษ เพราะว่ามาจากลีกเยอรมันเลย แต่ก็แอบลุ้นกันแน่นอนว่าจะเก่งแค่ไหน กองกลางคนนี้เป็นใคร มีจุดเด่นอะไร จะมีดีสมความตั้งใจไหม เรามีข้อมูลมาให้คุณตัดสินใจเอง

นาบี้ เกอิต้า  เป็นชาวกีนี ทวีปแอฟริกานู้นเลย เค้าอายุ 23 ปีเท่านั้น มีส่วนสูง 172 ซม. และเล่นตำแหน่งกองกลาง  เค้าย้ายมาจากสโมสรไลป์ซิก ในบุนเดสลีกา เยอรมนี ซึ่งปีที่ผ่านมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เกาะหัวตารางแม้ว่าจะไม่ได้มีดาวเด่นมากนัก แต่กับต่อกรกับทีมใหญ่ ๆ อย่างสูสี จนทุก ๆ ทีมหันมามองนักเตะแต่ละคนในทีม และเป็นนาบี้ เกอิต้า นี่แหละที่เฉิดฉายมาก หลังจากที่เค้าจบฤดูกาลด้วย การลงเล่นทั้งหมด 30 เกม ยิงไป 5 ประตู และจ่ายบอล 2 ประตู และยังได้รางวัลยอดเยี่ยมแห่งปีมาแล้วด้วย ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2016-2018 เป็นต้นมาจึงถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่นาบี้ ได้แจ้งเกิดและการเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปถ้วยใหญ่สุด ก็ถือว่าเป็นเวทีชั้นดีที่ให้ผลงานของเค้าเองเตะตาลิเวอร์พูลในที่สุด

นาบี้ เกอิต้า นั้นเป็นนักเตะแอฟริกาโดยกำเนิด ดังนั้นเรื่องสมรรถนะร่างกายและลักษณะทางด้านร่างกายที่แข็งแรง  มีความกำยำ และวิ่งเร็วคงไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นจุดเด่นแน่นอน แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว เค้ายังไม่ใช่กองกลางตัวรับ หรือกองกลางตัวรุกเต็มตัวด้วย นั่นหมายความว่า เค้าไม่ได้เล่นตำแหน่งที่ต่ำหรือดันสูง แต่กลับเป็นกองกลางที่เล่นได้ทุกตำแหน่ง อาจจะเป็นกองกลางที่ครบเครื่องก็ว่าได้ บางครั้งการเล่นแบบนาบี้ เรียกกว่า Box to Box Player หมายความว่า กองกลางคนนี้วิ่งตั้งแต่กรอบเขตโทษตัวเองเวลารับ และก็แจ้นไปหน้าเขตโทษฝั่งตรงข้ามเวลาทำเกมรุกด้วย ขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้อย่างไม่มีเหนื่อย เรียกว่าสารพัดประโยชน์มากนั่นเอง นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญยังบอกว่า นาบี้มีความเป็นกองกลางที่ Dynamic มาก แปลว่าเค้ามีพลังเหลือล้นไม่ขี้เกียจ แถมการจ่ายบอลก็ได้หมดทั้งสั้นและยาว แถมยังมีจังหวะขึ้นมาทำประตูแสดงความเฉียบคมบ่อย ๆ ด้วย

นาบี้ เกอิต้า เป็นอะไรที่แตกต่างจากกองกลางคนอื่น ๆ ของหงส์แดงมาก เช่น เฮนเดอร์สัน กับอัลเลนมาก ก็หวังว่าในปีนี้ คล็อปป์จะมีทุกอย่างที่เพียงพอและพร้อมแล้วสำหรับการได้แชมป์