Tag Archives: เชลซี

ไปไหนดีชิรูด์ เมื่อการนั่งสำรองที่เชลซี อาจมีผลกระทบต่อตำแหน่งในทีมชาติ

ดูเหมือนว่าจะเกิดปัญหาขึ้นเสียแล้วสำหรับกองหน้ารูปหล่อสัญชาติฝรั่งเศส อย่างโอลิวิเยร์ ชิรูด์ ของสโมสรสิงโตน้ำเงินครามเชลซี ที่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของเขาในสโมสรมันจะส่งผลกระทบโดยตรงไปถึงตำแหน่งในทีมชาติฝรั่งเศสเสียแล้ว เมื่อเขากลายมาเป็นตัวสำรองที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในฤดูกาลนี้รอคอยโอกาสอยู่บนม้านั่งสำรอง ของทีมชุดเลือดใหม่ของแฟรงค์ แลมพาร์ด ที่มีผู้เล่นพลังหนุ่มฟอร์มแรงค่าตัวแพงขวางอยู่เต็มไปหมด

นอกจากผู้เล่นตัวจริงที่เบียดเขามาเป็นเพื่อนสนิทกับม้านั่งในฤดูกาลนี้ จะมีแต่บรรดาเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังและค่าตัวแพงแล้ว ยังเห็นได้ว่าทีมของแลมพาร์ดนั้นกับลังค่อย ๆ ถูกปรับแต่งให้เล่นเข้ากันและทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย มันยิ่งทำให้โอกาสการสอดแทรกลงสนามของกองหน้าจอมเก๋าวัย 34 อย่างเขานั้นยากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในลีกนั้นหากหันกลับไปดูตัวเลขการลงสนามของเขา หลังจากที่ผ่านเกมมาแล้ว 9 นัดเขามีเวลาได้สัมผัสผืนหญ้าในสนามแข่งเกินครึ่งชั่วโมงไปแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง และมันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาสามารถทำประตูในลีกเลยแม้แต่ลูกเดียว และที่สำคัญมากไปกว่านั้นทางผู้จัดการทีมชาติฝรั่งเศสอย่างดิดิเยร์ เดชองป์ได้ส่งสัญญาณมาถึงเขาแล้วว่ามันอาจจะไม่ดีพอที่จะทำให้เขาได้ไปลุยศึก ยูโร 2020 อีกด้วย

ดังนั้นถ้าหากเขาหวังจะไปยูโรกับทัพตราไก่ ทางเดียวที่จะเป็นไปได้ก็คือเขาจะต้องย้ายไปหาตำแหน่งตัวจริงกับทีมอื่น แทนที่จะนั่งดูน้อง ๆ เล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์นั่นเอง และตัวเขาเองก็รู้ดีว่าสิ่งไหนที่สำคัญกว่าระหว่างการแขวนสตั๊ดกับทีมใหญ่อย่างเชลซี กับการออกไปยู่กับทีมเล็กแล้วไปลุยยูโรกับทีมชาติ เพราะด้วยความที่เจ้าตัวนั้นมีอายุถึง 34 ปีแล้ว โอกาสการไปลุยศึกใหญ่กับทีมบ้านเกิดหนนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วในชีวิตนักฟุตบอลของเขา และเมื่อมองจากผลงานในทีมชาติของชิรูด์เองก็นับว่าเขา ยังคงเป็นกำลังสำคัญในทีมชาติและแท็กติกของเดชองป์ ซึ่งรู้มือรู้ฝีเท้ากันดีอยู่แล้วเพราะเขาเป็นกำลังหลักมาตั้งแต่ชุดแชมป์โลก 2018 นั่นเอง เพราะฉะนั้นขนาดของสโมสรหรือโอกาสลุ้นแชมป์รายการใหญ่อาจไม่จำเป็น เพียงแต่มีโอกาสลงสนามเพื่อรักษาความฟิตและความเฉียบคมเท่านั้นก็น่าจะเพียงพอที่จะอยู่ในแผนการทำทีมของเดชองป์ได้แล้ว

ถึงแม้ว่าโอลิวิเยร์ ชิรูด์จะมีช่วงเวลาที่ดีพอสมควรกับเชลซี แต่ในเวลานี้เขาจำเป็นต้องเลือกแล้วที่จะเป็นผู้ที่ต้องเดินจากไป และเขาก็ได้ร้องขอต่อทางสโมสรแล้วที่จะย้ายออกจากทีมในช่วงปีใหม่นี้ ซึ่งเชื่อว่าทางผู้จัดการทีมอย่างแฟรงค์ แลมพาร์ดก็คงจะเสียดายไม่น้อยเช่นกัน เพราะในยามที่ทีมเจอทางตันความเก๋าของกองหน้าสำรองอย่างชิรูด์ก็มีประโยชน์ต่อทีมมากอยู่ แต่ในกรณีนี้เชื่อว่าทุกฝ่ายคงจะเข้าใจเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นมันจึงเหลือเพียงว่าสถานีต่อไปของเขานั้นจะเป็นที่ใดเท่านั้นเอง

คืนวันที่ผันเปลี่ยนของสโมสรเชลซี จากจุดสูงสุดที่ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

สโมสรเงินถุงเงินถังอย่างเชลซีจัดเป็นทีมประเภทอยากได้ใครก็ต้องได้ นับตั้งแต่โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรสำเร็จมหาเศรษฐีแห่งดินแดนหมีขาวก็ร่ายเวทย์มนต์ด้วยเม็ดเงินของเขาบันดาลความสำเร็จมาสู่เชลซีอย่างยิ่งใหญ่ จากทีมระดับกลางของพรีเมียร์ลีกกลับกลายเป็นทีมหัวแถวที่ลุ้นแชมป์ทุกฤดูกาล ทีมสิงโตน้ำเงินครามจึงเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ด้วยหลักฐานอย่างถ้วยรางวัลการแข่งขันทุกรายการทั้งในประเทศและระดับทวีปยุโรป  

อับราโมวิชผู้พาเชลซีก้าวมาไกลเกินฝัน ทุกสิ่งเป็นจริงได้เพียงปลายนิ้วสั่ง

นับตั้งแต่ปี 2004 ที่อับราโมวิชได้เข้ามาถืออำนาจเบ็ดเสร็จในสโมสร เขาจัดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างแทบจะทันทีทันใด ด้วยนิสัยของนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีที่กล้าทุ่มกล้าเสี่ยง นับตั้งแต่การดึงโชเซ มูรินโญ ยอดกุนซือฟอร์มร้อนในขณะนั้น รวมทั้งการกว้านซื้อนักเตะระดับสตาร์อีกหลายรายโดยไม่สนใจรายจ่ายที่เสียไปว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ และนั่นถือเป็นความเสี่ยงที่คุ้มสุดคุ้มดังที่เห็นในทุกวันนี้ เชลซีสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และอีกหลายครั้งตามมา รวมทั้งถ้วยใหญ่สุดของทวีปยุโรป ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ก็ยังสามารถนำมาประดับตู้โชว์ได้เป็นผลสำเร็จ การลงทุนแบบบ้าคลั่งของอับราโมวิชจึงน่าจะคุ้มค่าตอบสนองความต้องการของเขาได้ทุกเพนนีเลยทีเดียว

การสร้างสโมสรของอับราโมวิชเป็นแบบตรงไปตรงมา ตัวเองอยากได้นักเตะคนไหนก็จะเข้าแทรกแซงการซื้อขายโดยไม่สนใจโค้ชหรือรูปแบบวิธีการที่เหมาะสม และนี่จึงเป็นจุดหนึ่งที่เชลซีมักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง ฤดูกาล 2018/2019 เป็นเพียงฤดูกาลเดียวที่เมาริซิโอ ซาร์รี ได้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีม ด้วยผลงานของสโมสรที่ไม่เข้าตาแม้คว้าแชมป์ถ้วยรองเวทียุโรปมาครองก็สั่งฟ้าผ่าปลดกันแบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องให้เวลาแก้ตัวทั้งที่เพิ่งให้เวลาทำงานไปเพียงหนึ่งฤดูกาลเท่านั้น และกุนซือผู้รับชิ้นเผือกร้อนคนล่าสุดอย่างแฟรงค์ แลมพาร์ด ผู้เป็นตำนานของเชลซีครั้งยังเป็นนักเตะแต่ยังถือว่าใหม่สำหรับงานกุนซือ เขาจะสามารถพาทีมกลับสู่เส้นทางความสำเร็จที่เข้าตาผู้เป็นเจ้าของสโมสรได้มากน้อยแค่ไหนจึงเป็นประเด็นที่หลายคนตั้งคำถาม

แฟรงค์ แลมพาร์ด ผู้กอบกู้ศรัทธาเชลซี ภายใต้ข้อจำกัดที่ยากเกินบรรยาย

เชลซีมักซื้อนักเตะบิ๊กเนมที่พร้อมใช้ได้เลยทันทีเพื่ออุดรอยรั่วในตำแหน่งต่าง ๆ ให้กับทีม แม้ต้องใช้เงินมากแต่ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเสมอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติเช่นว่าจะไม่เกิดขึ้นกับทัพสิงโตน้ำเงินครามในฤดูกาล 2019/2020 จากกรณีถูกแบนตามกฎ Protection of Minors ที่เกี่ยวกับการทำผิดกฎการซื้อขายนักเตะเยาวชน และแน่นอนว่าหากสภาพของทีมก่อนปลดซาร์รีนั้นไม่ได้ฉายแววทีมที่มีลุ้นแชมป์รายการใหญ่ฉันใด การเริ่มต้นของแลมพาร์ดในฤดูกาลใหม่ที่ไม่สามารถเสริมนักเตะใหม่ได้ตามต้องการก็คงไม่ต่างกันฉันนั้น อักทั้งการที่ทีมต้องเสียเอเดน อาร์ซาร์ หัวใจเกมรุกของทีมก็ยิ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุดสำหรับแลมพาร์ด

การทำสัญญาซื้อขายกันล่วงหน้าในดีลคริสเตียน พูลิซิซ จึงเป็นเพียงความหวังเดียวที่อาจพอลุ้นให้เขาสร้างคุณภาพให้กับทีมได้ใกล้เคียงกับที่อาร์ซาร์เคยทำไว้ สิ่งที่แลมพาร์ดจะพอทำได้อีกเรื่องนั่นคือการผลักดันนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดี เช่น เมสัน เมาท์ และ แทมมี่ อับราฮัม ซึ่งก็พอเห็นแววฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมอยู่ไม่น้อย เวลาของแลมพาร์ดในการสร้างเชลซีขึ้นใหม่จะยาวนานแค่ไหนผลงานในสนามจะเป็นคำตอบ และคนที่ตัดสินชี้ขาดคงไม่พ้นอับราโมวิชคนเดิม

เอแด็น อาร์ซาร์ ฤดูกาลหน้าจะอยู่หรือไป?

นับตั้งแต่ตัดสินใจปัดข้อเสนอของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เพื่อย้ายจาก ลีลล์ สู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในปี 2012 ชีวิตของเพลย์เมกเกอร์ชาวเบลเยี่ยมก็เหมือนกราฟที่พุ่งขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ยิ่งล่าสุดพาทีมชาติคว้าอันดับสามในฟุตบอลโลก 2018 มาได้ นับเป็นการตอกย้ำได้เป็นอย่างดีว่าคุณภาพของอาร์ซาร์อยู่ตรงจุดไหน? แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธว่าเขาคือนักเตะระดับโลกอย่างแท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ใด ๆ ในเกาะอังกฤษไม่นับถาดการกุศล หรือแม้แต่ถ้วยยุโรปอย่างยูโรป้าลีกปีกร่างเล็กก็สัมผัสกับต้นสังกัดมาแล้วทั้งสิ้น จะว่าความท้าทายในลีกผู้ดีแทบไม่เหลืออะไรที่ต้องไขว่คว้าก็อาจจะกล่าวได้ ในขณะเดียวกันข่าวพัวพันกับการย้ายไปสวมชุดขาวที่สเปนก็ออกมาเป็นระรอก เมื่อตลาดซื้อ-ขายนักเตะเปิดก็มักจะมีความคาดเดาว่าอาร์ซาร์จะได้ย้ายสังกัด แต่ก็เป็นเพียงข่าวลม ๆ แทบทังสิ้น จนเมื่อกลางปีที่ผ่านมาก่อนตลาดซื้อ-ขายฤดูหนาวจะปิดลง อาร์ซาร์ให้ข่าวกับสื่อกีฬาอย่างตรงไปตรงมาว่า เรอัล มาดริด คือทีมในฝันของเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน เจ้าตัวก็พูดกับสื่ออีกรอบเพื่อกระตุ้นสถานการณ์ของทีม ซึ่งหมายความกลาย ๆ ว่าควรเฉดหัว อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือมากปัญหาออกไปได้แล้ว แม้จะไม่ได้พูดอย่างตรง ๆ แต่การบอกว่า “อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในทีมที่ดีกว่านี้ ไม่เช่นนั้นคงมองหาทางไป และถ้าเขาจะย้ายทีม ทุกคนรู้ดีว่ามันจะหมายถึงที่ไหน?” คำพูดประมาณนี้ก็ทำให้หลายคนเข้าใจดี แถมการรั้งรอไม่ยอมจรดปากกาต่อสัญญาก็ยิ่งทำให้แฟนบอลสิงห์โตน้ำเงินครามรู้สึกหวั่น ๆ อยู่ไม่น้อย เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาอาจต้องเสียนักเตะหมายเลขหนึ่งไปฟรี ๆ

ตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงขณะนี้สังเกตได้ชัดว่ามีแต่ข่าวจากฟากฝั่งนักเตะเอง แต่กลับกันทางฝั่ง ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด กลับเงียบเป็นเป่าสากผิดแผกไปจากเดิมที่เวลาต้องการซุปตาร์คนไหนเป็นต้องป่าวประกาศไปสามบ้านแปดบ้าน และดันไปมีข่าวกระแสแรงกับเนย์มาร์พ่วงคีเลี่ยน เอ็มบัปเป้สองสตาร์จาก ปารีส แซงต์ แชร์แม็ง เสียมากกว่า ถึงแม้จะคาดเดาได้ไม่ยากว่าสองตัวนี้ค่าหัวแต่ละคนอาจจะมากกว่า 100-250 ล้านปอนด์ก็ตาม จึงดูเหมือนเห็นอาร์ซาร์เป็นของตายหรือตัวเลือกรองของสองดาวดังที่กล่าวไป ราวกับว่าได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จุดนี้เองอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อาร์ซาร์อาจจะเลิกอ่อยโคตรทีมจากสเปนเสียที

บางทีการไม่ชัดเจนของ เรอัล มาดริด อาจทำให้อาร์ซาร์หวนกลับไปเปิดโต๊ะเจรจาขยายสัญญาอยู่ต่อกับเชลซีก็เป็นได้  เพราะจากหลาย ๆ คลิปฮาที่เจ้าตัวรวมทั้งเพื่อน ๆ โพสต์ลงสื่อสังคมออนไลน์ มันสะท้อนให้เห็นว่าเขาเองยังแฮปปี้มาก ๆ กับชีวิตในมหานครลอนดอนและในถิ่นสแตมฟอร์ดบริดจ์โดยไม่จำเป็นต้องง้อ เรอัล มาดริด ให้เสียราคาแต่อย่างใด

วัฒนธรรมที่เปลี่ยนถ่าย สิงห์บลู ยักษ์ใหญ่สีฟ้าแห่งลอนดอน

วัฒนธรรม คือระบบ แบบแผน ที่ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน ทุกแห่งหนหากมีมนุษย์โลกครอบครองเป็นเจ้าของ ที่แห่งนั้นจะต้องมีวัฒนธรรม

แบบแผนที่ยึดต่อกับมา แม่เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป บางครั้ง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นบ่อเกิดของปัญหาใหญ่ ที่ยังหาทางแก้ไขได้ยากเช่นกัน

นับตั้งแต่ปี 2004 เมื่อ มหาเศรษฐีนักการเมืองผู้คลั่งไคล้ฟุตบอล โรมัน อับราโมวิช นำเงิน 140 ล้านปอนด์ เข้ามาเทคโอเวอร์ สโมสรฟุตบอล เชลซี ก็ผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์ต้น ๆ ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ

14 ปีภายใต้การนำของ “เสี่ยหมี” ที่แฟนฟุตบอลเรียกขาน ทีมดังจากลอนดอน ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในแง่ของความนิยม และถ้วยรางวัล 4 แชมป์พรีเมียร์ลีก  , 4 แชมป์ เอฟเอคัพ , 1 แชมป์ลีกคัพ , 2 ถาดคอมมิวนิตีชีลด์ , 1 แชมป์ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก และ 1 แชมป์ยูโรป้า ลีก ทั้งหมด 13 โทรฟี่ที่ อับราโมวิช นำมา คือสิ่งที่พลิกโฉมหน้าสโมสรอย่างแท้จริง

แต่สิ่งหนึ่งที่ก่อเกิดพร้อม ๆ กับความสำเร็จนั้นคือ วัฒนธรรมสิงห์บลู วัฒนธรรมการ “ปลดโค้ช”

ตลอด 14 ปีของ “เสี่ยหมี” เทรนเนอร์ผู้เข้ามารับงานยังถิ่นสแตมฟอร์ด บริจด์ ถูกตะเพิดพ้นเก้าอี้มาแล้วถึง 9 คนด้วยกัน ทั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดโค้ชสเปเชียล วัน ผู้พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างยิ่งใหญ่ หรือ กุนซือผู้มากด้วยบารมีอย่าง คาร์โล อันเชลอตติ แม้กระทั่ง ลูกหม้อสโมสร ผู้พาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยใหญ่ของยุโรป ใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสรอย่าง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ก็ยังไม่เว้น โดนเฉดหัวออกจากทีมอย่างไม่ไยดี

เพราะทั้งหมดดันไปมีปัญหากับขาใหญ่ในทีม แทบทั้งสิ้น จากเสียงซุปซิบนินทาภายในและภายนอกสโมสรเอง ต่างไปในทิศทางเดียวกันว่า “เสี่ยหมี” ของพวกเขา เป็นคนอยู่เบื้องหลังการไล่โค้ช แทบทุกครั้ง และสิ่งที่ทำให้เหล่าเทรนเนอร์ต่างไม่พอใจ จนถึงขั้นโดนผลักไสออกจากสโมสรก็คือ

การโดนแทรกแซงการทำงานจากเจ้าของทีม

          คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าต้องทำงานบริหารทีมฟุตบอล แต่อำนาจการตัดสินในในหลาย ๆ อย่าง คุณไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เปรียบดังศิลปินที่ไม่สามารถสร้างสรรค์จินตนาการของตนเองได้เต็มทีม กลับต้องมานั่งทำงานตามความคิดของผู้อื่น

และที่ร้ายแรง จนส่งผลให้ความแตกหักเกิดขึ้นระหว่างผู้จัดการทีม และ เจ้าของทีมคือ อำนาจการตัดสินใจในการเสริมทัพนักเตะ หากเทรนเนอร์ต้องการนักเตะรายไหน พวกเขาไม่สามารถเดินเข้าไป และนำแข้งรายนั้นมาร่วมทีมได้ ถ้าเจ้าของสโมสร หรือบอร์ดบริหารรายอื่น ๆ ไม่เห็นด้วย

แต่เมื่อมองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลา 14 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า หากไม่มีวัฒนธรรมการปลดโค้ชในวันนั้น ทีมสิงโตน้ำเงินครามแห่งนี้ อาจจะยังหยุดอยู่กับที่ก็เป็นได้