Tag Archives: ผู้จัดการทีม

สตีฟ บรู๊ซ กับการคุมทีมในพรีเมียร์ลีก 400 นัดและชัยชนะครั้งแรกเหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

นับตั้งแต่เปลี่ยนเส้นทางอาชีพจากนักฟุตบอลมาเป็นผู้จัดการทีม สตีฟ บรู๊ซได้นำทีมต้นสังกัดของเขาปะทะกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมาเกือบ 30 นัด ตั้งแต่สมัยที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันยังคุมทีมอยู่ข้างสนาม แต่ก็ไม่เคยเก็บชัยชนะเหนืออดีตต้นสังกัดเมื่อสมัยยังเป็นนักเตะได้เลย จนกระทั้งมาถึงยุคโอเล่ กุนนาร์ โซลชา เขาจึงสามารถพิชิตทีมปีแดงลงได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ฉลองการคุมทีมลงแข่งขันในศึกพรีเมียร์ลีกครบ 400 นัดพอดิบพอดี นับเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 7 ที่ทำได้ต่อจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, อาร์แซน เวนเกอร์, แฮร์รี่ เร้ดแนปป์, เดวิด มอยส์, แซม อัลลาร์ไดซ์ และมาร์ค ฮิวจ์ส

ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่สตีฟ บรู๊ซ ค้าแข้งอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขามีความทรงจำที่ดีมากมายในศึกพรีเมียร์ลีก เมื่อสามารถเป็นกัปตันทีมคนแรกที่ได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกร่วมกับไบรอัน ร็อบสัน ก่อนนำปีศาจแดงคว้าแชมป์ได้อีก 2 สมัย ภายหลังประกาศแขวนสตั๊ด เขาก็รับงานคุมทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในศึกดิวิชั่น 1 ทันที ก่อนจะย้ายไปคุมฮัดเดอส์ฟิลด์ ทาวน์, วีแกน แอธเลติก, คริสตัน พาเลซ และเบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ ทีมที่เขาสามารถพาเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษประเดิมคุมทีมพรีเมียร์ลีกนัดแรกในเกมเปิดฤดูกาล 2002-03 พบกับอาร์เซน่อล และเป็นฝ่ายพ่ายไป 0-2 โดยฤดูกาลแรกบรู๊ซพาทีมลูกโลกจบด้วยอันดับที่ 13 และทำทีมเกาะกลุ่มกลางตารางได้เรื่อยมา จนกระทั้งซีซั่น 2005-06 เบอร์มิ่งแฮมหล่นไปอยู่ในอับดับที่ 18 ตกชั้นไปเล่นในลีกแชมเปี้ยนชิพ แต่ปีต่อมาเขาก็พาทีมกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ก่อนจะย้ายไปคุมทีมระดับพรีเมียร์ลีกด้วยกันอย่างวีแกนและซันเดอร์แลนด์ แต่หลังจากแยกทางกับทีมแมวดำ สตีฟ บรู๊ซเลือกคุมทีมแชมเปี้ยนชิพอีกครั้งกับฮัลล์ ซิตี้ และเพียงปีเดียวก็ช่วยให้ทีมตราเสือเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ก็ไม่อาจช่วงให้ทีมยืนระยะบนลีกสูงสุดได้เกิน 2 ปีก็ตกชั้นไปตามสภาพ ก่อนจะเป็นนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดที่เลือกเขาจนได้กลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในปัจจุบัน

สตีฟ บรู๊ซ เป็นผู้จัดการทีมที่มักให้โอกาสดาวรุ่งอยู่เสมอ นักเตะมีชื่อเสียงหลายคนถูกเขาส่งลงสนามตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นคาเมรอน เจอโรม ศูนย์หน้าชาวอังกฤษ, แอนดรูว์ โรบินสัน แบ็กซ้ายทีมชาติสก็อตแลนด์ หรือแม้แต่แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ปราการหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก รวมไปถึงนักเตะรายล่าสุดอย่างแมทธิว ลองสต๊าฟฟ์ ผู้ยิงประตูชัยช่วยให้เจ้านายสามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้เป็นครั้งแรกในฐานะผู้จัดการทีม

แม้การคว้าชัยเหนือทีมปีศาจแดงจะช่วยให้นิวคาสเซิล ยูไนเต็ดขยับหนีโซนตกชั้นได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่ถือว่าปลอดภัยเมื่อฤดูกาลยังอีกยาวไกล ที่ผ่านถึงสตีฟ บรู๊ซจะเคยผ่านประสบการณ์ทั้งพาทีมเลื่อนชั้นและทำทีมตกชั้นมาแล้ว แต่ตามสถิติเขาไม่เคยคุมทีมใดแล้วตกชั้นตั้งแต่ฤดูกาลแรก ต้องรอชมว่าท้ายที่สุดแล้วสถิติของเขาจะยังคงความอาถรรพ์และช่วยให้ทีมสาลิกาดงอยู่รอดในพรีเมียร์ต่อไปได้สำเร็จหรือไม่

เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยอดกุนซือมากฝีมือ ผู้เสพติดความสมบูรณ์แบบและชัยชนะ

ฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม ผู้เล่นทุกคนคือฟันเฟืองสำคัญแต่ละชิ้นที่ประกอบกันเพื่อสร้างความสำเร็จมาสู่สโมสร แต่ฟันเฟืองทุกชิ้นคงไม่สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพหากผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมันสมองของสโมสรไม่สามารถประกอบฟันเฟืองแต่ละตัวให้ทำงานสอดรับกันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น บุคคลที่คอยทำหน้าที่อยู่ข้างสนามอย่างผู้จัดการทีมฟุตบอลจึงเปรียบเสมือนหัวใจแห่งความสำเร็จที่ทุกสโมสรให้ความสำคัญ

ชายผู้มีปรัชญาแห่งฟุตบอลที่สวยงาม ผู้บันดาลความสำเร็จให้กับทุกสโมสร

ผู้จัดการทีมฟุตบอลที่จัดอยู่ในกลุ่มยอดคนสมองเพชรแห่งยุคสมัยนี้มีอยู่หลายราย อาทิ โชเซ่ มูรินโญ่, อันโตนิโอ คอนเต้, เจอร์เกน คล็อปป์ และขาดไม่ได้กับชายที่ชื่อว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยอดกุนซือผู้ฝากผลงานความสำเร็จไว้ให้กับทุกสโมสรที่ย่างเท้าเข้าไปรับหน้าที่ผู้จัดการทีม ในสมัยเด็กเป๊ปเติบโตมากับฟุตบอลแบบบาร์เซโลนา เป็นผลผลิตจากศูนย์ฝึกเยาวชน ลา มาเซีย ด้วยความเข้มงวดและขึ้นชื่อเรื่องการสร้างนักเตะอาชีพที่พัฒนาทั้งฝีเท้าและปรัชญาการเล่นฟุตบอลที่สวยงาม แม้ในสมัยเป็นนักเตะอาชีพเขาอาจไม่ได้เป็นซุปเปอร์สตาร์ของวงการแต่ก็จัดอยู่ในประเภทนักเตะฝีเท้าดีที่พาบาร์เซโลนาคว้าแชมป์ได้ไม่น้อย และนั่นคือรากฐานที่ถูกปลูกฝังให้กลายฟุตบอลแบบเป๊ป กวาร์ดิโอล่า อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้

ฟุตบอลแบบ Tiki-Taka คือสไตล์การเล่นที่สร้างชื่อให้กับเป๊ป สามารถสร้างให้บาร์เซโลนากลายเป็นยอดทีมไร้เทียมทานแห่งยุค จนแฟนบอลขนานนามว่าทีมจากต่างดาวที่ไม่มีสโมสรใดบนโลกนี้จะต่อกรด้วยได้ แม้ความอิ่มตัวจากความสำเร็จที่ล้นทะลักย่อมทำให้ยอดโค้ชเลือกหันหลังให้กับทีมแห่งกาตาลัน แต่เพชรย่อมเป็นเพชรเขาแสดงให้เห็นว่าปรัชญาการทำทีมของเขาไม่ได้ใช้ได้กับบาร์เซโลนาได้เพียงทีมเดียวเท่านั้น บาเยิร์นมิวนิกคืออีกหนึ่งสโมสรที่ถูกเป๊ป ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นให้เข้ากับปรัชญาการทำทีมของตนเอง แม้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ไม่ได้กวาดโทรฟีมากมายดังเช่นที่สเปนแต่เป๊ปก็สามารถสร้างฟุตบอลที่สวยงามให้แฟนบอลได้ตื่นตาตื่นใจ และกับสโมสรปัจจุบันแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ซึ่งเป๊ปได้แสดงเอกลักษณ์การทำทีมของตนเองให้กระฉ่อนโลกอีกครั้ง ทีมเรือใบสีฟ้าชุดปัจจุบันเข้าขั้นยอดทีมแห่งยุคสมัยก็ว่าได้ด้วยรูปแบบเกมรุกที่รวดเร็ว แม่นยำ การต่อบอลน้อยจังหวะตามสไตล์ของเป๊ปถูกปลูกถ่ายให้กับนักเตะทุกคน การคว้าทุกถ้วยบนเกาะอังกฤษตอกย้ำความเป็นเป๊ปได้เป็นอย่างดี และหากเรือใบสีฟ้าจะแล่นไปคว้าแชมป์เจ้ายุโรปในเร็ววันนี้ก็คงยิ่งทำให้ชื่อเป๊ป กวาร์ดิโอลา กลายเป็นตำนานที่ถูกกล่าวขานไปอีกนาน

ยอมหักไม่ยอมงอ วิถีฟุตบอลที่พร้อมแตกหักเพื่อเป้าหมายสูงสุดของทีม

ชายผู้เสพติดความสมบูรณ์แบบเข้าขั้นเพอร์เฟคชั่นนิสต์ คือลักษณะนิสัยที่จริงจัง มุ่งมั่นเพื่อผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมไร้ที่ติ อาจฟังดูเกินจริงในโลกของฟุตบอลอาชีพ แต่คำว่าเกินจริงคงใช้ไม่ได้กับผู้ชายอย่างเป๊ป การสร้างทีมของเขาต้องสมบูรณ์แบบ เขาใส่ใจทุกรายละเอียดโดยไม่ยอมปล่อยให้เรื่องไม่ถูกต้องเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านไปอย่างไม่ได้รับการแก้ไข จนบางครั้งมันก็อาจกลายเป็นข้อเสียส่วนตัวที่เขามักมีปัญหากับลูกทีม หรือบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเขาอยู่บ่อยครั้ง บางรายยังเลยเถิดไปจนถึงขั้นแตกหักต้องแยกทางกันไปก็มีไม่น้อย

วิถีฟุตบอลของเป๊ปมีความตรงไปตรงมา ถ้าเป้าหมายคือความสำเร็จผู้เกี่ยวข้องทุกคนก็ต้องทำตามรูปแบบที่เขาวางไว้ทุกกระเบียดนิ้ว นั่นจึงทำให้ทุกทีมที่เขาเลือกรับหน้าที่โค้ชล้วนมีถ้วยรางวัลประดับตู้โชว์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำคือความรักในกีฬาฟุตบอลที่สามารถแสดงออกมาด้วยปรัชญาการทำทีมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างแท้จริง

รอยจารึกที่ไม่มีวันสูญสลายของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

“เวลาเกิดอะไรขึ้น ผู้คนมักจะพูดว่า ถ้า เฟอร์กูสัน ยังอยู่จะไม่มีทางทำอะไรแบบนั้น หาก เฟอร์กูสัน ยังไม่วางมือจะตัดสินใจอย่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุก ๆ สิ่งจะต้องถูกนำไปเปรียบเทียบกับช่วงเวลาของ เฟอร์กูสัน” นี่คือคำกล่าวของอดีตกองหน้าของสโมสร ที่ปัจจุบันย้ายไปค้าแข้งอยู่ที่ประเทศอเมริกาในศึกเมเจอร์ ลีก อย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

                ถามว่าสิ่งที่ ซลาตัน กล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่ ก็ต้องเรียนตามตรงว่าเป็นความจริง เพราะเหล่าแฟนบอลจำนวนมากของสโมสรรวมถึงอดีตนักเตะระดับตำนาน ต่างมักจะยกวิธีการจัดการหรือการตัดสินใจของ เฟอร์กูสัน เป็นตัววัดความถูกต้องในการตัดสินใจทำอะไรหลาย ๆ อย่างของสโมสรในปัจจุบัน เพราะต้องไม่ลืมว่าช่วงเวลาของความสำเร็จที่ตำนานกุนซือ
อย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้สร้างไว้อย่างยาวนั้น ได้จารึกเกิดเป็นจิตวิญญาณของยูไนเต็ดไปแล้ว

                ทีนี้ ถ้าต้องการให้เหล่าแฟนบอล สื่อ หรือนักวิจารณ์ ก้าวข้ามเรื่องนี้ไปจะต้องทำอย่างไร

                อย่างแรกเลยคือ จะต้องมีผู้จัดการทีมที่มาสร้างความสำเร็จให้กับสโมสร และจะต้องอยู่กับสโมสรเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร ดังเช่นที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้นำ ยูไนเต็ด ก้าวข้ามความสำเร็จที่ทางอดีตกุนซือระดับตำนานอย่าง เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ ได้เคยสร้างไว้ให้กับสโมสร

                นอกจากความสำเร็จ และช่วงเวลาที่จะอยู่กับทีมนั้น สิ่งที่ต้องทำอีกอย่างคือ ความสม่ำเสมอ

                ตลอดระยะเวลาที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้เข้ามาคุมทีม ถ้าไม่นับช่วงแรก ๆ กับทางสโมสรที่ต้องวางรากฐานให้กับทีมในระยะยาว ยูไนเต็ด เป็นเพียงไม่กี่สโมสรที่สามารถกล่าวได้ว่า มีความสำเร็จที่สม่ำเสมอมากที่สุด โดยแทบไม่มีฤดูกาลไหนเลยที่จะไม่ประสบความสำเร็จ หรือถึงแม้ในฤดูกาลนั้นจะไม่ได้แชมป์ ก็มักจะใช้เวลาปรับแก้ไขทีมเพียงไม่นานในการกลับขึ้นมากวาดสำเร็จอยู่เสมอ

ลีกคัพ 4 สมัย เอฟเอคัพ 5 สมัย แชมป์ระดับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย และแชมป์ลีกในประเทศ 13 สมัย คือสิ่งที่การันตีการนำพาสโมสรประสบความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยรวมการคว้าแชมป์ไปทั้งสิ้น 24 รายการตลอดการคุมทีม 26 ปี และได้พาสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นมาเป็นสโมสรชั้นนำของยุโรป

จากเงื่อนไขที่ว่ามา แค่เพียงเงื่อนไขแรกที่จะต้องพาทีมพุ่งชนความสำเร็จ และอยู่กับทีมในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรก็ยากแล้ว เพราะในยุคทุนนิยมแบบนี้ ต่อให้คุณพาทีมคว้าแชมป์ลีก หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ ก็ยังไม่สามารถ
การันตีเก้าอี้ผู้จัดการทีมว่าจะมั่นคงแค่ไหน อย่างที่ได้พบเห็นมาแล้วกับ เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือผู้สร้างตำนานให้กับสโมสร
 เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ภายหลังพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำได้ กลับเกิดสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดยิ่งกว่า เมื่อโดนปลดจากการเป็นผู้จัดการทีมในฤดูกาลต่อมาจากผลงานที่ย่ำแย่

ดังนั้นก็ต้องหันกลับมามองตามความเป็นจริงว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครมาลบรอยจารึกแห่งความสำเร็จที่
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ประทับไว้กับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และหวังได้แต่เพียงว่า สักวันหนึ่งจะมีคนที่ก้าวเข้ามาเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้เหล่าแฟนบอลได้ตื่นตาตื่นใจอีกครั้ง

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ชายผู้ปลุกจิตวิญญาณยูไนเต็ด

นับตั้งแต่ที่ทางสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประกาศปลด โชเซ่ มูรินโญ่ และประกาศแต่งตั้ง
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตตำนานกองหน้าของสโมสร เข้ามารับตำแหน่งการเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว บรรยากาศในสโมสรก็ได้แปรเปลี่ยนไป ผลงานดีขึ้นผิดหูผิดตา สไตล์การเล่น ความมุ่งมั่นทุ่มเท ล้วนแล้วแต่ทำให้เหล่าแฟนบอลตื่นตาตื่นใจ และมองว่า นี่คือการกลับมาของ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง

                จากบทสัมภาษณ์อันหลากหลาย ที่สื่อต่างตั้งคำถามกับทางนักเตะของสโมสรว่า โซลชา ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในสโมสร เหล่านักเตะต่างตอบไปในทำนองเดียวกันว่า โซลชา รู้ความหมายของสโมรสรแห่งนี้เป็นอย่างดี และเขาต้องการถ่ายทอดให้เหล่านักเตะได้เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ สิ่งแรกที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้บอกกับพวกเขาในวินาทีที่เข้ามาคุมทีม คือ “พวกคุณต้องแสดงให้เหล่าแฟนบอลเห็นว่า เราคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ”

                ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายดาวรุ่งของทีมได้กล่าวว่า “ผู้จัดการรู้ว่าจะเค้นความสามารถของเหล่านักเตะในทีมออกมาอย่างไร หากใครที่มีปัญหา หรือไม่สามารถเล่นได้ในระดับที่วางไว้ นักเตะสามารถที่จะเดินเข้าไปหาเขาได้ทันที เพื่อที่จะขอคำปรึกษา และหาข้อแก้ไขจุดบกพร่องอย่างตรงไปตรงมา”

                นอกจากการปรับแก้ไขปัญหาผลงานในสนามหรือภายในห้องแต่งตัวแล้ว อิทธิพลจากการที่ทางสโมสรแต่งตั้ง
โซลชา เข้ามารับตำแหน่ง ได้สร้างบรรยากาศที่ดีให้กับภายในสโมสร โดย มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“นับตั้งแต่ที่ โอเล่ ได้เข้ามา เกิดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างภายในสโมสรมากมาย ไม่ใช่แค่เหล่าพวกเรานักเตะเท่านั้น แม้กระทั่งพนักงานออฟฟิศที่อยู่กับพวกเรามาหลายปียังรู้สึกเลยว่า สโมสรมีบรรยากาศที่ดีขึ้น ผู้จัดการทีมได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเรา ว่าพวกเรายังสามารถพัฒนาศักยภาพไปได้อีกมาก และมันได้สร้างความมั่นใจให้กับพวกเราได้มากจริง ๆ ”

                ด้วยสไตล์การเล่นที่กลับไปเน้นเกมบุกสวนกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมั่นใจในศักยภาพของดาวรุ่งสโมสร อีกทั้งการให้สัมภาษณ์สื่อ ที่มักจะให้สัมภาษณ์ในเชิงบวกแล้วเก็บปัญหาที่มีไว้จัดการกันเองภายใน และปลูกฝังทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ให้แก่เหล่านักเตะ ทำให้บรรดาเหล่าตำนานรุ่นพี่ที่เคยสังกัดกับทางสโมสร ต่างยกย่องเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ โซลชา ทำ คือการนำเอาวิธีการบริหารทีมของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาปรับใช้ และปลุกจิตวิญญาณความเป็น ยูไนเต็ด กลับขึ้นมาอีกครั้ง

                เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่า ทำไม สื่อ นักวิจารณ์ และแฟนบอล ถึงมองว่า นับตั้งแต่ปี 2013 ที่ตำนานกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้วางมือไป นี่คือ ยูไนเต็ด ที่มีสไตล์การเล่น และบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับเมื่อครั้งอดีตมากที่สุด และเป็นเหตุผลที่ทำไม เหล่าแฟนบอลของสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างลงความเห็นว่าอยากให้
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างถาวรต่อไปในระยะยาว

เมื่อเหล่ากูรูฝีปากกล้า ก้าวเข้ามาเป็นกุนซือ

แน่นอนว่าในยุคที่กีฬาฟุตบอลรุ่งเรือง แฟนบอลสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจในโลกฟุตบอลได้อย่างรวดเร็ว อีกอาชีพหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แฟนบอลร่วมวิเคราะห์ถึงแผนการเล่นในแต่ละเกมนั้น คงหนีไม่พ้นอาชีพอย่าง
นักวิจารณ์ฟุตบอล ซึ่งโดยมากล้วนแล้วแต่เป็นการนำเอาเหล่าอดีตตำนานนักเตะที่เคยสร้างชื่อ หรือแม้กระทั่งโค้ช ผู้จัดการทีม ที่ว่างงานอยู่ในขณะนั้น มาร่วมวิเคราะห์เจาะลึกถึง แผนการเล่น การแก้แผนทีมคู่แข่ง รวมทั้งมุมมองต่อปัญหา หรือวิธีแก้ปัญหาที่เหล่าทีมฟุตบอลต่าง ๆ ได้เจออยู่ในขณะนั้น

                ซึ่งหลาย ๆ ครั้ง มุมมองต่าง ๆ ที่เหล่า นักวิจารณ์ ได้ให้แง่คิดไว้ กลับกลายเป็นการสร้างกระแสในโลกฟุตบอลอย่างมากมายในภายหลัง แฟนบอลต่างนำเอาแนวคิดเหล่านี้ ไปใช้ในการอ้างอิงเวลาถกเถียงหรือพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนฝูง ในขณะที่สื่อก็มักจะหยิบยกประเด็นที่เหล่านักวิจารณ์ได้พูดไว้ นำไปผลิตข่าวออกมาอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน

                ต้องยอมรับว่า เมื่อมีกลุ่มแฟนบอลที่เห็นด้วย ก็ต้องมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยตามมา อีกทั้งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดเห็นของเหล่านักวิจารณ์ ได้กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาให้แก่ผู้จัดการทีมหรือผู้บริหารของทีมในขณะนั้น ให้ต้องทำงานกันอย่างยากลำบากยิ่งขึ้น

                แต่ในมุมที่ต้องลงมาทำงานจริง ๆ นั้นไม่เคยง่าย เมื่อพบตัวอย่างเหล่านักวิจารณ์ทั้งหลาย ที่ขอลาไมค์และลองมาเชยชมกับการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมฟุตบอล ที่สุดท้ายประสบความล้มเหลว จนต้องรีบกลับไปทำงานเดิมที่ตนเองถนัดอย่างรวดเร็ว

                แกรี่ เนวิลล์ ตำนานปราการหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ภายหลังการจบอาชีพการค้าแข้ง ได้รับเสียงชื่นชมจากเหล่าแฟนบอลมากมายในแง่ของการวิจารณ์ได้อย่างตรงประเด็น จนมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการนักวิจารณ์ฟุตบอล เมื่อสั่งสมบารมีในการวิเคราะห์การเล่นในแต่ละทีมจนช่ำชองแล้ว จึงได้ขอทดลองงานการเป็นผู้จัดการทีม โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมของสโมสร บาเลนเซีย ที่เล่นในลีกสูงสุดของสเปน แต่ผลงานกลับไม่เป็นดั่งใจหวัง เมื่อทำให้สโมสรต้องตกลงไปอยู่ในโซนตกชั้น จากผลงานที่คุมทีมทั้งหมด 28 เกม พาทีมชนะได้เพียง 10 เกม เสมอ 7 และแพ้ไปทั้งสิ้น 11 เกม

                พอล สโคลส์ อดีตกองกลางตำนานสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นอีกคนที่ต้องพบกับความล้มเหลวเมื่อหันมาเป็นผู้จัดการทีมอย่างสิ้นเชิง ภายหลังพาสโมสร โอลด์แฮม ชนะเพียง 1 เกม จาก 7 เกมที่ตัวเองได้คุมทีม และอีก 6 เกมที่เหลือเป็นการเสมอและแพ้อย่างละ 3 เกม

                เธียร์รี่ อองรี อดีตศูนย์หน้าระดับตำนานของทีมปืนใหญ่ อาร์เซนอล ที่ได้กลับไปคุมทีมเก่าของตัวเองสมัยเป็นดาวรุ่งอย่าง โมนาโก ก็เผชิญกับความล้มเหลวไม่ต่างกัน เมื่อพาทีมเก็บชัยชนะได้เพียงแค่ 5 เกมตลอด 20 เกมที่เจ้าตัวมีโอกาสได้คุม

                จะเห็นว่า สุดท้ายการเป็นนักวิจารณ์ ย่อมง่ายกว่าการเป็นคนที่ลงไปทำงานเสมอ ดังคำกล่าวที่ โชเซ่ มูรินโญ่ สุดยอดกุนซือคนหนึ่งของโลกเคยกล่าวไว้ว่า “ผมอยากให้เหล่านักวิจารณ์ได้ลองมานั่งข้างสนามในฐานะผู้จัดการทีมดู เพราะการดูบอลทางโทรทัศน์แล้ววิจารณ์ผลงาน มันง่ายกว่าการเป็นผู้จัดการทีมเยอะ”

ดิดิเย่ร์ เดอร์ช็องส์กุนซือผู้นำฝรั่งเศสไปถึงฝัน

ตอนนี้ทุกคนคงได้รู้จักทีมชาติฝรั่งเศสชุดล่าสุด ที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้อีกสมัยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่จริงแล้วหลายคนคงจะแทบได้มีโอกาสรู้จักสมาชิกนักเตะของทีมชุดนี้กันอย่างละเอียด โดยเฉพาะขุนพล 11 ตัวจริงไปบ่อยแล้วแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น อ็องตวน กรีซซ์มันน์ หรือ คีเลียน เอ็มบัปเป้ และแม้แต่ราฟาเอล วาราน กับอีกมากมาย แต่ทว่าอีกบุคคลหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อความสำเร็จของทีมชาติฝรั่งเศสชุดนี้แน่นอน จะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจาก กุนซือตัวเล็ก ๆ แต่ความสามารถไม่เล็ก ที่รับผิดชอบการเล่นทั้งหมดของนักเตะ ที่มีชื่อว่า เดอร์ช็องส์ นั่นเอง วันนี้คงจะดีถ้าเราจะได้มีโอกาสมาทำความรู้จักเค้ามากขึ้น ว่าอะไรและทำไมเค้าถึงทำให้ฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกได้ ให้เราคำตอบกันไปเลย

กุนซือประวัติศาสตร์

นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ เดอร์ช็องส์ ได้กลายมาเป็นมนุษย์คนที่ 3 ของโลกที่สามารถประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกได้ในช่วงชีวิตตัวเอง ทั้งในฐานะนักเตะ ซึ่งเค้าเคยทำได้ไปแล้วในฐานะกัปตันทีมชุดแชมป์ปี 1998 และในฐานะกุนซือมันสมองข้างสนามในปีนี้ 2018 ด้วย  ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียง 2 คนที่ทำได้คือ มาริโอ ซากัลโล ชาวบราซิล และฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ จากเยอรมนีนั่นเอง นี่หมายความว่าการที่เค้ามีประสบการณ์ในฐานะนักเตะที่เคยเล่นให้กับสโมสรดัง รวมถึงช่วงเวลาที่กดดันและความยากลำบากในการเล่นทีมชาติยิ่งในฟุตบอลโลก แน่นอนว่าช่วยเพิ่มพูนความคิด ลูกเล่น และวิธีการสอนและกระตุ้นนักเตะในการแข่งขันบอลโลกนี้แน่นอน ที่จริงน่าจะเป็นสิ่งล้ำค่าที่หาเปรียบไม่ได้ซึ่งโค้ชคนอื่นในการแข่งขันปีนี้ไม่มีใครมีเลย

ประสบการณ์ด้านการเล่น

เมื่อตอนที่เดอร์ช็องส์เป็นนักเตะนั้น เค้าเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวตัดเกม หรือ มิดฟิลด์ตัวรับ ที่ยืนอยู่หน้าแผงหลัง และก็ทำหน้าที่ป้องกัน ตัดเกม เข้าปะทะ แย่งบอลเพื่อคุ้มกันกองหลังเป็นเหมือนหน้าด่านชั้นแรกให้กับแผงหลังเสมอ  การเล่นแบบนี้เคยถูก ตำนานผีแดงอย่าง อีริก คันโตน่า เรียกว่า เด็กยกน้ำ แต่ฉายานี้เป็นคำชมเชยแน่นอนเพราะว่า เค้าเล่นแบบนี้จนทำให้ได้แชมป์กับสโมสรมากมายและแชมป์โลกด้วย ดังนั้นเมื่อมาเป็นกุนซือในปีนี้ เดอร์ช็องส์ เลือกใช้แผนเดิมคือมีกองกลางตัวรับชนิดเดียวกับเค้าให้ทำหน้าที่นี้ และคน ๆ นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก นักเตะผู้ปิดทองหลังพระ และสุดยอดกองกลางตัวรับที่ ทุกคนต่างสรรเสริญหลังการแข่งขันอย่าง เอ็นโกโล่  ก็องเต้ ที่ทำงานอย่างหนักและเล่นคล้ายกันมากกับกุนซือของเค้านั่นเอง

เราเห็นแล้วว่าทั้งประสบการณ์ และ มันสมองด้านการเล่นฟุตบอลกับการวางแผนและวางตัวนักเตะ เดอร์ช็องส์ คนนี้เหมาะสมด้วยทุกประการในการเป็นกุนซือแชมป์โลก

 

อูไน เอเมรี่นายใหม่แห่งค่ายปืนโต

เมื่อปีที่แล้วมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในค่ายทางฝั่งไอ้ปืนโต หรือสโมสรฟุตบอลอาร์เซน่อล แห่งเกาะอังกฤษ ยอดทีมของกองเชียร์จำนวนมากในไทย ซึ่งทำให้แฟน ๆ หลายคนต้องเศร้าและหลั่งน้ำตา หรือบ้างก็ดีใจ ทำให้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ แม้แต่ทั่วโลกก็ไม่ต่างกัน นั่นคือการประกาศลาออกของกุนซือหน้าเหี่ยว ที่คุมทีมมานานจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของทีมไปแล้วอย่าง อาร์เซน เวงเกอร์ อย่างกะทันหัน บ้างก็เดากันว่าเป็นการวางมือ แต่บ้างก็วิเคราะห์กันว่าเป็นการไล่ออกแบบกลาย ๆ ชัด ๆ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามตอนนี้ ค่ายปืนโตได้นายใหม่มาคุมบังเหียน เป็นทางการแล้วนั่นคือ อูไน เอเมรี่ นั่นเอง เค้าเป็นใคร มีประวัติเป็นยังไงบ้าง เราไปดูกันเลย

เราทราบกันดีว่า อูไน เพิ่งจะเป็นกุนซือล่าสุดที่จบงานมาจากสโมสรขนาดใหญ่ อย่างปารีส หรือแปเอสแช ในลีกเอิง ฝรั่งเศส และเป็นเค้าเองที่คุมทีมระดับโลก โฉมใหม่ที่อัดฉีดเม็ดเงินนับล้าน ๆ ๆ เข้าไป จนกลายเป็นยกระดับทีมด้วยนักเตะชื่อดังค่าตัวแพงระยับ แทบจะในทันที และก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศคว้าแชมป์ในฝรั่งเศษ ทั้งลีกสูงสุด กับฟุตบอลถ้วยมากมาย และแม้ว่าจะไม่สามารถได้ถ้วยใบใหญ่ในยุโรป แต่ก็เรียกได้ว่ายกระดับตัวเองไปเร็วเหมือนกัน และยังเป็นเครื่องการันตีด้วยว่าเค้าคุมทีมใหญ่ได้ เอานักเตะแบบสตาร์อยู่แน่นอน ก่อนหน้านั้นถ้าจะย้อนไปสักหน่อยก็จะเป็นสโมสรในเสปนอย่าง เซบีญ่า ที่เป็นสโมสรระดับหัวแถวชั้นนำในเสปนเหมือนกัน ที่นั่นแม้จะไม่มีสตาร์ดังมากนักเหมือนกับที่อื่น แต่เค้ากับโชว์ฝีมือทำทีมเล่นบอลสวยงาม มีทิศทางและคว้าแชมป์ยุโรปใบเล็กได้ด้วย ที่จริงตอนนี้แหละที่เป็นจุดแจ้งเกิดจริง ๆ ของเค้า หากย้อนกลับไปกับทีมแรก อย่างสโมสรญอก้า เดปอร์ติโว ทีมเล็กในลีกดิวิชั่น 3 ของเสปน ที่เค้าทำทีมจนเลื่อนชั้น และโดนดึงตัวไปคุมทีมวาเลนเซียในลีกสูงสุดหลังจากนั้น และก็คุมอยู่นาน 4 ปี ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปคุมสปาตัก มอสโคว์อีกสั้น ๆ ดังนั้นแฟน ๆ อาร์เซน่อลคงจะมั่นใจในฝีมือการทำงานได้พอสมควร

แม้ว่าจะเห็นว่าเค้าเป็นกุนซือที่ไม่ดังเท่าเวงเกอร์ แต่ที่จริงแล้วเค้าได้ชื่อว่าเป็นโค้ชที่ทำทีมอย่างละเอียดและเน้นแทคติคมากกว่าโค้ชเหี่ยวด้วยซ้ำ แฟน ๆ ปืนอาจจะเห็นว่าทีมเล่นบอลสวยงามแต่กลับไม่ได้ถ้วยใหญ่มาหลายปี เพราะว่าขาดแทคติคที่เคี่ยว และละเอียดในการตัดสินเกมสำคัญ ๆ กับการฉะกับทีมใหญ่ ๆ เสมอ ๆ เอเมรี่ได้ชื่อว่าเป็นจอมเฮียบในการวางแผน และเน้นผลการแข่งขัน เค้าเรียกร้องมากจากนักเตะที่จะต้องทำตามแผน การเปลี่ยนการเล่นแต่ละเกม และการซ้อมที่หนักไม่สบาย ๆ แบบสมัยก่อนแน่นอน เค้ายังได้ชื่อว่าเป็นมันสมองชั้นเลิศในการพาทีมเข้าชิงบอลถ้วยอีกด้วย

ทั้งหมดนี้ทำให้เห็น อูไน เอเมรี่ จะเป็นกุนซือที่แตกต่าง และมีความสามารถพอเพียงเหมาะสมสำหรับ การพาไอ้ปืนโตก้าวไปข้างหน้าและไม่ถอยหลังไปมากกว่าตอนปีสุดท้ายของเวงเกอร์แน่นอน

 

ผู้นำแห่งศาสตร์ และ ปราชญ์แห่งศิลป์ กุนซือสมองใสแห่งวงการฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นได้ทั้งศาสตร์ หรือฟุตบอลเป็นศิลป์ก็ได้ แม้จะผ่านมาเนินนานสักเพียงใด ก็ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด ว่าเกมกีฬาอันได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกชนิดนี้ เป็นศาสตร์ หรือ เป็นศิลป์

หากมองในแง่ของการเป็นศาสตร์แล้ว ฟุตบอลก็มีสูตรสำเร็จ มีแบบแผนและรูปแบบการเล่น สามารถคิด สามารถวางกลยุทธ์ หรือแท็คติกให้ก่อเกิดเป็นชัยชนะได้เช่นกัน

แต่หากลองมองในแง่ของการเป็นศิลป์ ฟุตบอลก็เป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬา ที่ต้องอาศัยจิตใจในการเล่น อาศัยจินตนาการ แรงขับเคลื่อนจากภายในของนักฟุตบอล พลังเสียเชียร์ของเหล่าสาวกริมสนาม ฟุตบอลจึงเปรียบเหมือนงานศิลปะที่ต้องอาศัยหัวใจในการทำ ซึ่งก็สามารถนำมาด้วยผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน เราจึงยังไม่สามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ฟุตบอลจัดอยู่ในรูปแบบใดกันแน่ โดยเฉพาะในปัจจุบันเมื่อมีสองกุนซือที่เหมือนแยกร่างมาสองด้าน

ผู้นำแห่งศาสตร์ โชเซ่ มูรินโญ่

กุนซือรายนี้ จัดเป็นเทรนเนอร์ที่แตกฉานอย่างมากในศาสตร์การทำทีมฟุตบอล ทุกการวางหมาก ทุกระบบ ทุกย่างก้าวที่ขับเคลื่อนไปของทีม ล้วนแต่ผ่านการคิดวิเคราะห์มาแล้วทั้งสิ้น

“โชเซ่ มูริโญ่ คือคนที่ใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก เขารู้แม้กระทั้ง เบอร์รองเท้า ของผู้รักษาประตู หมายเลข 3 ของทีมคู่แข่ง” อดีตลูกทีมคู่ใจของ มูรินโญ่ อย่างสลาตัน อิบราฮิโมวิช เคยกล่าวไว้ในหนังสือชีวประวัติของตนเอง

และคำพูดสุดคลาสสิกของมูรินโญ่ ที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกต่างยกย่องให้เขาเป็นเจ้าแห่งศาสตร์ฟุตบอลคือ “ไม่มีใครจะใส่ใจผู้แพ้ ที่เล่นฟุตบอลได้สวยงามหรอก”

ส่วนคู่ตรงข้ามอย่าง ราชญ์แห่งศิลป์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

         กุนซือชาวสเปน แสดงให้โลกได้เห็นแล้วว่า ฟุตบอลคือสิ่งที่สวยงาม มันคืองานศิลปะที่แฟนบอลทั่วหัวระแหงในโลกต้องการ

ด้วยรูปแบบการเล่นที่เป๊ปสร้างขึ้น ความสวยงาน ความลื่นไหลต่อเนื่อง ที่ไม่ใช่อาศัย แค่สูตรสำเร็จจากการคำนวณเท่านั้น มันยังต้องพึ่งพาจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงอารมณ์ และความรู้สึก เข้ามาเป็นอีกหนึ่งกลไกของการเล่นฟุตบอล

“หากคุณเล่นด้วยระบบ แบบแผน คู่ต่อสู้จะหาทางหยุดคุณได้ด้วยอีกหนึ่งแบบแผนเช่นกัน แต่หากใช้จินตนาการ สัญชาตญาณในการเล่น พวกเขาจะหยุดคุณยังไง” หนึ่งประโยคของอดีตกุนซือบาร์เซโลน่า ซึ่งเคยกล่าวไว้ เมื่อถูกถามถึงสไตล์การทำทีมของตนเอง

แต่ไม่ว่า ฟุตบอลจะเป็นศาสตร์ การเรียนรู้ เป็นวิชาเรียนอีกแขนง หรือฟุตบอลจะเป็นศิลปะ ที่ต้องอาศัยความรู้สึก จิตรวิญญาณในการเล่น กีฬาชนิดนี้ ก็ยังเป็นเกมการแข่งขันที่ตื่นเต้นเร้าใจที่สุด ฟุตบอลจะเป็นสูตรคำนวน หรือ สัญชาตญาณ มันอาจจะตัดสินกันด้วยแค่ คุณอยากให้มัน เป็นอะไรละ?