Tag Archives: พรีเมียร์ลีก

ฤดูที่แตกต่างของ อเล็กซิส ซานเชซ

ภายหลังการโยกย้ายสังกัดเมื่อช่วงตลาดเดือนมกราคม ในฤดูกาล 2017/2018 ที่ อเล็กซิส ซานเชซ ดาวยิงทีมชาติชิลี ได้ย้ายสังกัดมาอยู่ร่วมกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้จุดประกายความหวังในใจแฟนบอลว่า ประสิทธิภาพเกมรุกของทีมจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น และจะมาเป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุกให้กลับมาทะลวงตาข่ายคู่ต่อสู้ได้ดั่งในอดีตที่ผ่านมา

จวบจนในเวลานี้ ศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2018/2019 ได้เดินทางเข้าสู่ช่วงท้ายฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย นับเป็นเวลากว่า 1 ปีที่ อเล็กซิส ซานเชซ ได้ย้ายถิ่นฐานจากเมืองลอนดอนมาสู่เมืองแมนเชสเตอร์ แฟนบอล นักวิเคราะห์ และเหล่านักเตะระดับตำนานของสโมสร ต่างให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า นี่ไม่ใช่ อเล็กซิส ซานเชซ คนเดิมกับที่เคยอยู่ที่ อาร์เซนอล

ถ้าอย่างนั้นจริง ๆ แล้ว อเล็กซิส ซานเชซ คนเดิมที่ทุกคนต่างพูดถึงในอดีตเป็นอย่างไร

ตลอดการค้าแข้งกับทางสโมสรปืนใหญ่ อาร์เซนอล ก่อนที่จะย้ายทีม อเล็กซิส ซานเชซ ถือเป็นแนวรุกคนสำคัญของทางสโมสรเคียงข้างกับนักเตะอย่าง เมซุส โอซิล ภายใต้การทำทีมของกุนซือขงเบ้งเลือดน้ำหอมอย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ โดยสถิติในการลงเล่นช่วงท้ายตลอด 1 ปีหลังก่อนย้ายทีม ซานเชซ มีสถิติการลงเล่นไปทั้งสิ้น 57 นัด ยิงไปทั้งสิ้นถึง 31 ประตู จ่ายให้เพื่อนร่วมทีมยิง 13 ประตู โดยมีค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมกับประตูอยู่ที่ 0.77 ประตูต่อเกม และมีการสร้างโอกาสยิงประตูเกมละ
3.5 ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสถิติการจ่ายสร้างสรรค์โอกาสเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4 ครั้งต่อเกม และสามารถเลี้ยงผ่านคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกม
อยู่ที่ 2.5 ครั้ง

ในทางกลับกัน ภายหลังการย้ายมาร่วมทีมกับทางสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซานเชซ มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 0.31 ประตูต่อเกม โดยสร้างโอกาสยิงไปทั้งสิ้น 1.3 ครั้งต่อเกม จ่ายลูกสำคัญเฉลี่ย 1.7 ครั้งต่อเกม และสามารถเลี้ยงผ่านคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 2.2 ครั้งต่อเกม

โดย อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีม อาร์เซนอล ที่รู้จักทุกแง่มุมถึงข้อดีข้อด้อยของนักเตะรายนี้เป็นอย่างดี ได้ให้ความเห็นกับทางสื่ออังกฤษถึงเหตุผลที่เจ้าตัวไม่สามารถโชว์ศักยภาพของตัวเองได้อย่างแท้จริง จนทำให้ประสบปัญหาฟอร์มตกอย่างหนักในช่วงหลังว่า “ผมคิดว่า อเล็กซิส ได้สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของเขาที่จะทำให้เขาโชว์ศักยภาพออกมาได้เต็มที่คือ การนำความเชื่อมั่นที่เขามีต่อตัวเอง มาแปรเปลี่ยนเป็นพลังเพื่อใช้ในการดวลกับนักเตะฝ่ายตรงข้าม”

เพราะฉะนั้นปัญหาทั้งหมดที่ทาง ซานเชซ กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ อาจไม่ใช่ปัจจัยภายนอก แต่อาจจะเป็นปัญหาภายในสภาพจิตใจ เนื่องจากในอดีตที่เจ้าตัวเคยได้รับการยกย่องจากบรรดาแฟนบอลทีมเก่าอย่าง อาร์เซนอล ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับบรรดาแฟนบอลของทาง ยูไนเต็ด ที่ยังไม่ยอมรับความสามารถในตัวนักเตะ ดังนั้นหากมองในอีกมุม ถ้า
อเล็กซิส ซานเชซ ต้องการเรียกความมั่นใจกลับมา อาจจำเป็นต้องปล่อยวางอดีตไว้เบื้องหลัง และหันกลับมาสู้อีกครั้งในฐานะนักเตะธรรมดาคนหนึ่ง และแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาให้เหล่าแฟนบอลได้เห็นว่า เขานี่แหละ คือนักเตะที่เหมาะสมกับค่าเหนื่อยอันดับหนึ่งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ชายผู้ปลุกจิตวิญญาณยูไนเต็ด

นับตั้งแต่ที่ทางสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประกาศปลด โชเซ่ มูรินโญ่ และประกาศแต่งตั้ง
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตตำนานกองหน้าของสโมสร เข้ามารับตำแหน่งการเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว บรรยากาศในสโมสรก็ได้แปรเปลี่ยนไป ผลงานดีขึ้นผิดหูผิดตา สไตล์การเล่น ความมุ่งมั่นทุ่มเท ล้วนแล้วแต่ทำให้เหล่าแฟนบอลตื่นตาตื่นใจ และมองว่า นี่คือการกลับมาของ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง

                จากบทสัมภาษณ์อันหลากหลาย ที่สื่อต่างตั้งคำถามกับทางนักเตะของสโมสรว่า โซลชา ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในสโมสร เหล่านักเตะต่างตอบไปในทำนองเดียวกันว่า โซลชา รู้ความหมายของสโมรสรแห่งนี้เป็นอย่างดี และเขาต้องการถ่ายทอดให้เหล่านักเตะได้เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ สิ่งแรกที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้บอกกับพวกเขาในวินาทีที่เข้ามาคุมทีม คือ “พวกคุณต้องแสดงให้เหล่าแฟนบอลเห็นว่า เราคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ”

                ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายดาวรุ่งของทีมได้กล่าวว่า “ผู้จัดการรู้ว่าจะเค้นความสามารถของเหล่านักเตะในทีมออกมาอย่างไร หากใครที่มีปัญหา หรือไม่สามารถเล่นได้ในระดับที่วางไว้ นักเตะสามารถที่จะเดินเข้าไปหาเขาได้ทันที เพื่อที่จะขอคำปรึกษา และหาข้อแก้ไขจุดบกพร่องอย่างตรงไปตรงมา”

                นอกจากการปรับแก้ไขปัญหาผลงานในสนามหรือภายในห้องแต่งตัวแล้ว อิทธิพลจากการที่ทางสโมสรแต่งตั้ง
โซลชา เข้ามารับตำแหน่ง ได้สร้างบรรยากาศที่ดีให้กับภายในสโมสร โดย มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“นับตั้งแต่ที่ โอเล่ ได้เข้ามา เกิดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างภายในสโมสรมากมาย ไม่ใช่แค่เหล่าพวกเรานักเตะเท่านั้น แม้กระทั่งพนักงานออฟฟิศที่อยู่กับพวกเรามาหลายปียังรู้สึกเลยว่า สโมสรมีบรรยากาศที่ดีขึ้น ผู้จัดการทีมได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเรา ว่าพวกเรายังสามารถพัฒนาศักยภาพไปได้อีกมาก และมันได้สร้างความมั่นใจให้กับพวกเราได้มากจริง ๆ ”

                ด้วยสไตล์การเล่นที่กลับไปเน้นเกมบุกสวนกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมั่นใจในศักยภาพของดาวรุ่งสโมสร อีกทั้งการให้สัมภาษณ์สื่อ ที่มักจะให้สัมภาษณ์ในเชิงบวกแล้วเก็บปัญหาที่มีไว้จัดการกันเองภายใน และปลูกฝังทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ให้แก่เหล่านักเตะ ทำให้บรรดาเหล่าตำนานรุ่นพี่ที่เคยสังกัดกับทางสโมสร ต่างยกย่องเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ โซลชา ทำ คือการนำเอาวิธีการบริหารทีมของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาปรับใช้ และปลุกจิตวิญญาณความเป็น ยูไนเต็ด กลับขึ้นมาอีกครั้ง

                เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่า ทำไม สื่อ นักวิจารณ์ และแฟนบอล ถึงมองว่า นับตั้งแต่ปี 2013 ที่ตำนานกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้วางมือไป นี่คือ ยูไนเต็ด ที่มีสไตล์การเล่น และบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับเมื่อครั้งอดีตมากที่สุด และเป็นเหตุผลที่ทำไม เหล่าแฟนบอลของสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างลงความเห็นว่าอยากให้
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างถาวรต่อไปในระยะยาว

เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ตัวเต็งรางวัลแข้งยอดเยี่ยมพีเอฟเอ 2018/2019

นับจากวันที่มีข่าวว่าทางสโมสร ลิเวอร์พูล ที่นำทัพโดย เจอร์เก้น คล็อปป์ ดึงดันในการติดต่อขอเจรจาซื้อตัว
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังชาวเนเธอร์แลนด์ให้ได้โดยที่ไม่มีเป้าหมายสำรอง จนเป็นเหตุให้ถึงกับต้องทุ่มเงินเป็นมูลค่าสูงถึง 75 ล้านปอนด์ และสร้างความสงสัยให้กับเหล่าแฟนบอลถึงเหตุผลในการซื้อตัวดาวเตะรายนี้

                แต่ใช้เวลาเพียงไม่นาน เหล่าแฟนบอลทั้งหลายทั่วโลกต่างได้พบคำตอบว่า ทำไมสโมสร ลิเวอร์พูล ถึงต้องทุ่มเงินมากมายมหาศาลถึงขนาดนี้ให้กับนักเตะตำแหน่งกองหลังเพียงรายเดียว

จากผลงานอันยอดเยี่ยมตลอดการค้าแข้งตั้งแต่ย้ายเข้ามาร่วมกับสโมสรอย่าง ลิเวอร์พูล ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงฤดูกาลนี้ ทำให้เหล่านักวิจารณ์ สื่อมวลชน และบริษัทรับพนันถูกกฎหมายของทางอังกฤษ ต่างยกให้ปราการหลังเจ้าของสถิติโลก เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018/2019

                เหตุใด เขาจึงได้รับการยกย่องมากขนาดนี้ ?

                ส่วนหนึ่งคงหนีไม่พ้นเหตุผลที่ว่า เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญมากของทีม ลิเวอร์พูล ในการเข้ามาปรับปรุงแก้ไข ขันเกมรับให้แน่น เพื่อให้เพื่อนร่วมทีมสามารถทำเกมรุกได้โดยไม่ต้องมาคอยกังวลเวลาโดนการสวนกลับของทีมคู่แข่ง พร้อมทั้งยังยกระดับทีมให้สามารถขึ้นมาต่อกรกับแชมป์เก่าอย่างสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อท้าชิงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีก

                นอกจากรูปแบบการเล่นที่มีความครบเครื่องในด้านความเร็ว การเล่นลูกกลางอากาศ ความนิ่ง และการยืนตำแหน่ง
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ยังถือเป็นกองหลังที่สามารถจ่ายบอลจากแดนหลังได้อย่างแม่นยำ และคอยสนับสนุนคู่หูในแนวรับของตัวเองได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่ามีความสามารถแทบทุกอย่างที่กองหลังควรจะมีอยู่ในตัวเขาเพียงผู้เดียว

                จากสถิติต่อเกมจะพบว่า ฟาน ไดค์ ชนะการดวลกลางอากาศเฉลี่ยถึง 4.7 ครั้ง และมีสถิติการจ่ายบอลยาวจากแดนหลังสูงถึง 5.7 ครั้งต่อเกม ยิ่งไปกว่านั้น จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของปราการหลังชาวดัตช์รายนี้คือ การเคลียร์บอลอันตรายที่อาจก่อให้เกิดปัญหาภายหลัง โดยพบว่ามีสถิติการเคลียร์บอลอันตรายสูงถึง 5.3 ครั้งต่อเกม และทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้น อยู่ภายใต้เงื่อนไขการทำฟาวล์ที่เจ้าตัวทำไปเพียง 0.4 ครั้งต่อเกมเท่านั้น

                เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของ ลิเวอร์พูล ได้เคยกล่าวถึงความยอดเยี่ยมของลูกทีมรายนี้ว่า “เขาอายุยังไม่มาก แต่กลับมีวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ สมรรถภาพร่างกายและความแข็งแรงทุกอย่างดีเยี่ยม คุณสามารถถ่ายทอดเรื่องราวเป็นหนังสือ เพื่อบรรยายถึงความสามารถของเขา ทักษะและความแข็งแกร่งที่เขามี รวมถึงเรื่องที่เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแค่ไหนได้ไม่รู้จบ”

                ทำให้ไม่น่าแปลกใจ ที่จากผลโหวตโดยแฟนบอลกว่า 18,000 คน โหวตให้ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ สมควรที่จะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018/2019 สูงถึง 81% รวมถึงสื่อมวลชน และนักวิเคราะห์ต่างให้ความเห็นว่า นี่คือตัวเต็งอันดับหนึ่งอย่างไม่มีข้อกังขาแน่นอน

เจมี่ วาร์ดี้ จอมสังหารทีมใหญ่

พรีเมียร์ลีกถือเป็นลีกที่มีความแข็งแกร่งมาก แนวรับระดับโลกมากระจุกกันอยู่ในลีกนี้มากขึ้นทุกปี แต่นั่นไม่ได้ทำให้ “เจมี่ วาร์ดี้” กองหน้าสัญชาติอังกฤษ ผู้ที่เรื่องราวมหัศจรรย์ของเขาถูกเล่าขานควบคู่กับตำนานแชมป์ของเลสเตอร์ ซิตี้เกรงกลัวประการใดเลย เขายังคงเดินหน้ายิงประตูทีมยักษ์อย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่ขึ้นศตวรรษที่ 21 จนถึงราว 5 ฤดูกาลก่อน ศึกพรีเมียร์ลีกของอังกฤษได้แบ่งแยกทีมระดับท็อป 4 ทีมออกจากทีมอื่น โดยเรียกทีมเหล่านี้ว่าบิ๊กโฟร์ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูลและเชลซี แต่หลังจากการเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของชีค มานซูร์ในปี 2008 หน้าตาของบิ๊กทีมในพรีเมียร์ลีกก็เปลี่ยนไปกลายเป็นว่าเรือใบสีฟ้าเข้ามาเอี่ยวลุ้นแชมป์ทุกฤดูกาลกับเขาอีกทีม เท่านั้นยังไม่พอ ในฤดูกาลที่เลสเตอร์ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ สเปอร์ก็เป็นอีกทีมที่ก้าวข้ามระดับของตัวเองขึ้นมา และยืนหยัดอยู่ต่อจนถึงปัจจุบันได้อย่างน่ากลัว จนตอนนี้บิ๊กทีมพรีเมียร์ลีก เปลี่ยนจากบิ๊กโฟร์กลายเป็นบิ๊กซิกส์เรียบร้อย

ขณะที่กองหน้าคนอื่นไปไม่เป็น แต่วาร์ดี้กลับยิงเหล่าทีมชั้นนำพวกนี้อย่างสนุกเท้า นัดล่าสุดที่เขาช่วยให้เลสเตอร์ชนะเชลซีเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ฤดูกาลที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ได้ กลายเป็นประตูที่ 13 จาก 15 เกมที่ลงเจอบรรดาทีมบิ๊กซิกส์ และทำให้ประตูรวมในการเจอกับทีมที่ว่ามานี้เพิ่มเป็น 28 ลูก

นับตั้งแต่นักเตะโนเนมคนนี้ย่างเท้าก้าวเข้ามาเป็นกองหน้าของเลสเตอร์ ซิตี้ในสมัยเล่นแชมเปี้ยนชิพ เขาสามารถยิงได้เป็นกอบเป็นกำ แต่คนก็สงสัยกันว่าในระดับพรีเมียร์ลีกเขาจะยิงได้หรือเปล่า ปรากฏว่าในปี 2014 วาร์ดี้ลุกจากม้านั่งสำรองมายิงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเกมที่จิ้งจอกชนะ 5-3 แม้จะเป็นฤดูกาลที่ต้องดิ้นรนหนีตกชั้น แต่วาร์ดี้ก็มีส่วนช่วยให้ทีมอยู่รอดมาสร้างปาฏิหาริย์แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลต่อมา ซึ่งเขาเดินหน้ายิงบรรดาทีมใหญ่อย่างต่อเนื่อง

อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษทำประตูให้เลสเตอร์ไป 95 ลูกจาก 250 เกม ในจำนวนนี้เป็นการยิงในพรีเมียร์ลีก 68 ลูก ซึ่ง 28 ประตูเป็นการยิงทีมบิ๊กซิกส์ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงถึง 41.6% ไม่มีนักเตะนอกบิ๊กทีมเหล่านี้คนไหนจะยิงได้มากเท่าเขาอีกแล้ว เพราะผู้เล่นที่จะยิงท็อปทีมเหล่านี้ได้ส่วนใหญ่ก็มาจากทีมของพวกเขาเอง ซาดิโอ มาเน่คือผู้เล่นลิเวอร์พูลที่มีสถิติยิงทีมในบิ๊กซิกส์ใกล้เคียงวาร์ดี้มากที่สุดที่ 37% (รวมสมัยอยู่เซาท์แธมตัน)

วาร์ดี้เป็นกองหน้าที่ทำตัวเหมือนการยิงทีมใหญ่เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เวลาเล่นกับทีมเล็กหรือระดับเดียวกันบางทีก็ไม่ยอมยิงประตูเสียอย่างนั้น เรื่องนี้อาจจะวิเคราะห์ไม่ยากจากแผนการเล่น ทีมใหญ่เหล่านี้มักดันแนวรับขึ้นสูงในการเจอกับเลสเตอร์ ทำให้วาร์ดี้สามารถใช้ความเร็วและความคล่องตัวหลุดไปทำประตูได้บ่อยครั้ง มันเป็นความสามารถพิเศษในการหาที่ว่างระหว่างคู่กองหลังและพุ่งไปที่ตรงนั้นของวาร์ดี้

ฤดูกาลนี้ของเจมี่ วาร์ดี้เพิ่งทำประตูได้เพียง 6 ลูก แต่สองในนั้นเป็นการยิงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตั้งแต่นัดเปิดสนามและล่าสุดกับการยิงเชลซี ถ้าไม่เรียกว่าเขาถูกโฉลกกับการยิงทีมใหญ่เป็นพิเศษก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

ผู้นำแห่งศาสตร์ และ ปราชญ์แห่งศิลป์ กุนซือสมองใสแห่งวงการฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นได้ทั้งศาสตร์ หรือฟุตบอลเป็นศิลป์ก็ได้ แม้จะผ่านมาเนินนานสักเพียงใด ก็ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด ว่าเกมกีฬาอันได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกชนิดนี้ เป็นศาสตร์ หรือ เป็นศิลป์

หากมองในแง่ของการเป็นศาสตร์แล้ว ฟุตบอลก็มีสูตรสำเร็จ มีแบบแผนและรูปแบบการเล่น สามารถคิด สามารถวางกลยุทธ์ หรือแท็คติกให้ก่อเกิดเป็นชัยชนะได้เช่นกัน

แต่หากลองมองในแง่ของการเป็นศิลป์ ฟุตบอลก็เป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬา ที่ต้องอาศัยจิตใจในการเล่น อาศัยจินตนาการ แรงขับเคลื่อนจากภายในของนักฟุตบอล พลังเสียเชียร์ของเหล่าสาวกริมสนาม ฟุตบอลจึงเปรียบเหมือนงานศิลปะที่ต้องอาศัยหัวใจในการทำ ซึ่งก็สามารถนำมาด้วยผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน เราจึงยังไม่สามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ฟุตบอลจัดอยู่ในรูปแบบใดกันแน่ โดยเฉพาะในปัจจุบันเมื่อมีสองกุนซือที่เหมือนแยกร่างมาสองด้าน

ผู้นำแห่งศาสตร์ โชเซ่ มูรินโญ่

กุนซือรายนี้ จัดเป็นเทรนเนอร์ที่แตกฉานอย่างมากในศาสตร์การทำทีมฟุตบอล ทุกการวางหมาก ทุกระบบ ทุกย่างก้าวที่ขับเคลื่อนไปของทีม ล้วนแต่ผ่านการคิดวิเคราะห์มาแล้วทั้งสิ้น

“โชเซ่ มูริโญ่ คือคนที่ใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก เขารู้แม้กระทั้ง เบอร์รองเท้า ของผู้รักษาประตู หมายเลข 3 ของทีมคู่แข่ง” อดีตลูกทีมคู่ใจของ มูรินโญ่ อย่างสลาตัน อิบราฮิโมวิช เคยกล่าวไว้ในหนังสือชีวประวัติของตนเอง

และคำพูดสุดคลาสสิกของมูรินโญ่ ที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกต่างยกย่องให้เขาเป็นเจ้าแห่งศาสตร์ฟุตบอลคือ “ไม่มีใครจะใส่ใจผู้แพ้ ที่เล่นฟุตบอลได้สวยงามหรอก”

ส่วนคู่ตรงข้ามอย่าง ราชญ์แห่งศิลป์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

         กุนซือชาวสเปน แสดงให้โลกได้เห็นแล้วว่า ฟุตบอลคือสิ่งที่สวยงาม มันคืองานศิลปะที่แฟนบอลทั่วหัวระแหงในโลกต้องการ

ด้วยรูปแบบการเล่นที่เป๊ปสร้างขึ้น ความสวยงาน ความลื่นไหลต่อเนื่อง ที่ไม่ใช่อาศัย แค่สูตรสำเร็จจากการคำนวณเท่านั้น มันยังต้องพึ่งพาจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงอารมณ์ และความรู้สึก เข้ามาเป็นอีกหนึ่งกลไกของการเล่นฟุตบอล

“หากคุณเล่นด้วยระบบ แบบแผน คู่ต่อสู้จะหาทางหยุดคุณได้ด้วยอีกหนึ่งแบบแผนเช่นกัน แต่หากใช้จินตนาการ สัญชาตญาณในการเล่น พวกเขาจะหยุดคุณยังไง” หนึ่งประโยคของอดีตกุนซือบาร์เซโลน่า ซึ่งเคยกล่าวไว้ เมื่อถูกถามถึงสไตล์การทำทีมของตนเอง

แต่ไม่ว่า ฟุตบอลจะเป็นศาสตร์ การเรียนรู้ เป็นวิชาเรียนอีกแขนง หรือฟุตบอลจะเป็นศิลปะ ที่ต้องอาศัยความรู้สึก จิตรวิญญาณในการเล่น กีฬาชนิดนี้ ก็ยังเป็นเกมการแข่งขันที่ตื่นเต้นเร้าใจที่สุด ฟุตบอลจะเป็นสูตรคำนวน หรือ สัญชาตญาณ มันอาจจะตัดสินกันด้วยแค่ คุณอยากให้มัน เป็นอะไรละ?

ระบบ “ กองหน้าตัวหลอก ” ของลิเวอร์พูล ดีจริง หรือเสียเวลา

ฟุตบอล จัดเป็นกีฬาที่มีแบบแผนให้เลือกใช้ และถูกปรับใหม่มากที่สุดในโลกของกีฬา และฟุตบอลก็เป็นหนึ่งชนิดกีฬา ซึ่งมีการพลิกแพลงแบบแผนในขณะแข่งขัน ได้มากที่สุดในโลกอีกเช่นกัน

เพราะตลอด 90 นาที เมื่อเพลงแข้งเข้าห้ำหั่นกันในสนาม ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง จะมาก จะน้อย ขึ้นอยู่กับแท็คติกของแต่ละทีม และระบบของแต่ละบุคคล

หงส์แดง ลิเวอร์พูลของเจอร์เก้น คล็อปป์ คืออีกหนึ่งสโมสรที่มีการพลิกแพลงระบบการเล่นได้หลากหลาย และสิ่งที่โดดเด่นหนึ่งในนั่นคือ ระบบเกมบุกแบบ “ False Nine ” หรือกองหน้าตัวหลอก

          ระบบดังกล่าวเคยโด่งแบบสุด ๆ ด้วยน้ำมือของจอมอัจฉริยะแห่งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ผู้ล่วงลับ อย่าง โยฮัน คัฟ  หรือในยุคปัจจุบันซึ่งยังผ่านพ้นมาได้ไม่นานก็คือ ทีมชาติสเปนชุดแชมป์โลกปี 2010

โดย บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เทรนเนอร์ของทีมกระทิงดุ ได้เลือกใช้งาน อันเดรส อิเนียสต้า มิดฟิลด์ตัวรุกจอมเทคนิค ยืนเป็นกองหน้าตัวหลอก และจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการสร้างประวัติศาสตร์

หลังจากเปลี่ยนถ่ายจากทีมชาติสเปน ระบบนี้ก็เริ่มห่างหายจากสายตาของแฟนบอลทั่วไป จนกระทั่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ลองนำมาติดตั้งยังสโมสร หงส์แดงลิเวอร์พูล ด้วยการเลือกให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ รับ บทบาท“ False Nine ”

          เมื่อได้รับความไว้ใจจากเจ้านาย บ็อบบี้ (ฟีร์มิโน่) ชื่อเล่นที่เด็กหงส์ตั้งให้ ก็ไม่ได้ทำให้คล็อปป์นั้นผิดหวังแต่อย่างใด ด้วยความที่เจ้าตัวเป็นนักเตะบราซิเลี่ยน ซึ่งใคร ๆ ที่ติดตาม ก็จะรับรู้กันดีว่า ชาวบราซิเลี่ยน มีทักษะชั้นยอดในการเล่นฟุตบอลเหนือชาติใด ๆ

แม้ฟีร์มิโน่ จะไม่ได้มีสกิลความโดดเด่นในการเลี้ยงบอล ครองบอลแบบเนย์มาร์ หรือการจบสกอร์อันเฉียบคมแบบ คูตินโญ่ แต่สิ่งหนึ่งที่กุนซือหงส์แดงมองเห็นในตัวอดีตเด็กฮอฟเฟ่นไฮม์ ว่าจะเข้ามารับบทกองหน้าตัวหลอกของทีมได้เป็นอย่างดีคือ มันสมองในการเล่นบอลอันชาญฉลาด ชนิดคิดไวทำไว โดดเด่นเกินใคร

เพราะกองหน้าตัวหลอก ในสไตล์ คล็อปป์ ไม่จำเป็นต้องจบสกอร์ให้คมกริบอะไรนัก หรือครองบอลเลี้ยงบอลให้ตื่นตาตื่นใจ เอาแค่พอประคองตัวเองได้ก็จบ แต่สิ่งสำคัญคือต้องฉลาดเป็นกรด และฟีร์มิโน่คือประเภทนั้น เขาสามารถวิ่งหาพื้นที่ได้ยอดเยี่ยม ปั่นป่วนของหลัง ดึงตัวประกบ ล่อหลอกให้เพื่อนร่วมทีมทำเกมรุกได้อย่างไร้ที่ติ

ซึ่งจริง ๆ แล้วบทบาทของกองหน้าตัวหลอก คือการ หลอกให้กองหลังคู่แข่งตามประกอบ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับทีมตนเอง แต่ถ้าทำประตูได้ ก็ถือเป็นโบนัส

นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงเลือกใช้ฟีร์มิโน่ แทนที่จะนำเงินไปทุ่มซื้อนักเตะกองหน้าราคาแพงอื่น ๆ

ทางเลือกที่ทำใจยาก “คนที่ใช่” หรือ “คนที่ชอบ” ถึงเวลาต้องตัดสินใจ

เชื่อไหมว่าในบางครั้ง ความรักมักจะมาในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่า เราจะมองมันในรูปแบบไหน จะหยิบจับมันเข้ามา ผสานรวมกับชีวิตอย่างไร บางคนเลือกคนที่คิดว่าใช่ แต่บางคนกลับเลือกคนที่ชอบ แล้วคุณล่ะ ตอนนี้อยากเลือกแบบไหน ?

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เลือก โชเซ่ มูรินโญ่

หน้าที่อันหนักอึ้งของกุนซือสเปเชียลวัน แม้ตอนตอบรับงานผีแดงใหม่ ๆ เจ้าตัวจะบอกว่า ตนเองได้เปลี่ยนฉายาใหม่เป็น เดอะโอลลี่วันแล้วก็ตาม มีโอกาสได้เข้ามารับไม้ต่อจาก อดีตอาจารย์ของตน ท่านหลุยส์ ฟาน กัล

ทั้งสื่อในหน้าหนังสือพิมพ์ โลกโซเชียลมีเดีย ตลอดจนแฟนบอลเรด อาร์มี่ทุกหัวระแหงบนโลกนี้ ต่างปลื้นใจน้ำร่วงไหลอย่างปิติ เมื่อทีมรักของพวกเขา ได้เลือก มูรินโญ่ เข้ามา เพื่อหวังจะกอบกู้ อาณาจักรผีแดงที่พังครืนจากน้ำมือของ เดวิด มอยส์ และ ฟาล กัล หวังว่าจะได้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยน้ำมือของเฮียมู

แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่ทีมสีแดงจากเมืองแมนเชสเตอร์ ต้องยอมรับให้ได้ คือ สไตล์การทำทีมของ เดอะโอลลี่วันผู้นี้ เป็นสิ่งตรงข้ามกับรางเหย้าอันฝังลึกของ สโมสรอสูรแดงเพลิง ซึ่งเถลิงความยิ่งใหญ่จากการเล่นเกมบุกอันเร้าใจ ใส่เต็มแบบเกินพิกัด

ภาพของทีมที่พร้อมจะดาหน้าบุกแหลกแฉกแนวรับศัตรู คือ มโนความทรงจำของแฟนผี อันยังติดตรึงกับอดีตกุนซือ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ได้มอบไว้

หากมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาได้รับจากมูรินโญ่ แม้จะมีโทรฟี่ แชมป์ ยูโรป้า ลีก และลีก คัพ มานอนกอด แต่สไตล์การเล่นแบบรัดกุม จนถูกบันดาแฟนบอลต่างทีมหยอกล้อว่า “แผนรถบัส” คือสิ่งที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องรับไป

เพราะบอร์ดบริหารของพวกเขา เลือกคนที่ชอบ มากกว่า คนที่ใช่

ด้วยโปรไฟล์สุดหรู บวกกับชื่อเสียงอันเลื่องลือ ของเทรนเนอร์สัญชาติโปรตุเกส ทำให้เหล่าบุคคลระดับสูงของผีแดง ร้อนรนทนไม่ไหว รีบไปฉุดกระชาก เข้ามารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของทีมให้ได้ ขณะที่มูรินโญ่ยังคงว่างงาน

เมื่อคนที่ชอบ ดันมีลักษณะบุคลิก ที่ขัดแย้งกับตัวตนของสโมสร คนที่ชอบ จึงกลับกลายเป็นคนที่ยัง ไม่ใช่ ให้ลองนึกสภาพว่าคุณเป็นรถสูตรหนึ่ง ที่วิ่งด้วยความเร็วระดับพระกาฬ และผ่านการถูกใช้งานโดยนักแข่ง F1 มือฉมัง อันนิยมชมชอบความเร็วและความตื่นเต้น

แล้ววันหนึ่ง คุณกลับมาถูกใช้งานโดย เจ้าหน้าที่ตำรวจจบใหม่ ผู้ยึดมันในความปลอดภัย เชื่อใจในความถูกต้องเป็นระเบียบ ใช่ คุณอาจจะประสบความสำเร็จ แต่ในความสำเร็จ อาจเต็มไปด้วยความขัดแย้งไม่ลงตัว

เพราะอะไรที่มันไม่ใช่ เกรงว่าถ้าดันทุรังไป อาจจะไม่มีอะไรดีขึ้น หรือไม่แล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะสูญเสีย อัตลักษณ์ “ที่ใช่” ไปตามกาลเวลา

เสื้อเบอร์ 6 แดนรับของทีม สำคัญที่เบอร์เสื้อ หรือไม้แขวนเสื้อ

หัวหอกผู้กระทุ้งตาข่าย หรืออาจรวมถึงมิดฟิลด์ตัวรุกผู้บัญชาเกมบุกของทีม คือตำแหน่งที่มักจะได้รับการยกย่อง ได้รับชื่อเสียงคำชื่นชมจากเหล่าแฟนบอลมากมายกว่าผู้เล่นในบทบาทอื่น ๆ

เพราะในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน เกมรุกถือเป็นสิ่งที่แฟนบอลนิยมชมชอบ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่ผู้เล่นซึ่งรับบทบาทหน้าที่ดังกล่าว จะถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง

หากแต่ฟุตบอลนั้น ไม่ใช่เกมกีฬาที่ลงเล่นเพียงผู้เดียว นักเตะทั้ง 11 คน ในสนาม จึงถือว่ามีความสำคัญเทียบเท่ากันทั้งหมด เพียงแต่แตกต่างหน้าที่กันเท่านั้น เพราะหากเจาะลึกถึงรายละเอียด สโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ คือทีมที่เด่นทั้งรุก ทั้งรับ

และผู้เล่นหมายเลข  6 หรือตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ จึงมีความสำคัญเทียบเท่ากับตำแหน่งอื่น

 “เกมรุกอันดุเดือด ยิงประตูเป็นว่าเล่น คือปัจจัยที่จะส่งผลให้ทีมของคุณ ได้รับชัยชนะ แต่เกมรับอันเหนียวแน่ รัดกุม จะทำให้คุณเป็นแชมป์ ” คำกล่าวสุดแสนคลาสสิก จากปากคำผู้พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเถลิงความยิ่งใหญ่มานานปี อย่าง เซอร์ อเล็กเฟอร์ กูสัน ไม่เคยผิดเพี้ยน

ซึ่งมิดฟิลด์ตัวรับ คือผู้เล่นที่เปรียบเหมือนด่านแรกของเกมรับ เมื่อยามที่ทีมต้องรับมือกับเกมบุกจากคู่แข่ง นักเตะหมายเลข 6 จะคอยปัดกวาด เก็บงาน รับแรงปะทะ อันรุนแรงไว้ ก่อนบอลจะถึง 2 เซนเตอร์แบ็คของทีม งานที่หนักหน่วย จะแบ่งเบาลงทันที และการเล่นเกมป้องกันจะง่ายลง

ยอดทีมทั้งหลาย จึงจำเป็นต้องมีผู้เล่นชั้นเซียนไว้รับบทบาทเบอร์ 6

          ในสมัยการคุมทีมท่านเซอร์ ของเด็กผี ก็มีขาโหดตัวรับอย่าง รอย คีน , พอล สโคลส์ ที่อยู่เบื้องหลังถ้วยรางวัลมากมาย

เดอะ สเปเชียลวัน อย่างมูรินโญ่ ก็มีนักเตะคู่บุญอย่าง โคล้ด มาเกเลเล่ หรือ อาร์แซน เวนเกอร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่ายได้ ก็เพราะกุนซือชาวฝรั่งเศสมี ปาทริค วิเอร่า ที่คอยกำราบแนวรุกคู่แข่ง

ปัจจุบัน นักเตะระดับโลกในตำแหน่งนี้ เหลือน้อยลงทุกที ที่เราพอจะมองเห็นได้ก็มี คาเซมิโร่ จากค่ายราชัน ชุดขาว , เซร์จิโอ บุสเก็ต จากบาร์เซโลน่า คลับ , อาร์ตูโร่ วิดัล จากเสือใต้บาร์เยิน มิวนิค

จึงเห็นได้ว่านักเตะเบอร์ 6 ระดับแถวหน้า มักอยู่กับทีมที่มักจะประสบความสำเร็จในระดับสูง และหากย้อนมองมายังลีกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก พวกเขายังขาดนักเตะระดับแถวหน้าในตำแหน่งนี้

เนร์มานย่า มาติช , วิคเตอร์ วานยาม่า หรืออันเดร์ เอร์เรร่า ก็ยังไม่ใช่ระดับโลก เห็นแต่จะมีแค่ เอ็นโกโล่ กองเต้ ของเชลซีเท่านั้น ที่พอจะนับได้  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่าเหตุใด ทีมจากอังกฤษถึงห่างหายจากแชมป์ถ้วยใหญ่สุดของยุโรปไปหลายปี

วัฒนธรรมที่เปลี่ยนถ่าย สิงห์บลู ยักษ์ใหญ่สีฟ้าแห่งลอนดอน

วัฒนธรรม คือระบบ แบบแผน ที่ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน ทุกแห่งหนหากมีมนุษย์โลกครอบครองเป็นเจ้าของ ที่แห่งนั้นจะต้องมีวัฒนธรรม

แบบแผนที่ยึดต่อกับมา แม่เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป บางครั้ง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นบ่อเกิดของปัญหาใหญ่ ที่ยังหาทางแก้ไขได้ยากเช่นกัน

นับตั้งแต่ปี 2004 เมื่อ มหาเศรษฐีนักการเมืองผู้คลั่งไคล้ฟุตบอล โรมัน อับราโมวิช นำเงิน 140 ล้านปอนด์ เข้ามาเทคโอเวอร์ สโมสรฟุตบอล เชลซี ก็ผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์ต้น ๆ ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ

14 ปีภายใต้การนำของ “เสี่ยหมี” ที่แฟนฟุตบอลเรียกขาน ทีมดังจากลอนดอน ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในแง่ของความนิยม และถ้วยรางวัล 4 แชมป์พรีเมียร์ลีก  , 4 แชมป์ เอฟเอคัพ , 1 แชมป์ลีกคัพ , 2 ถาดคอมมิวนิตีชีลด์ , 1 แชมป์ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก และ 1 แชมป์ยูโรป้า ลีก ทั้งหมด 13 โทรฟี่ที่ อับราโมวิช นำมา คือสิ่งที่พลิกโฉมหน้าสโมสรอย่างแท้จริง

แต่สิ่งหนึ่งที่ก่อเกิดพร้อม ๆ กับความสำเร็จนั้นคือ วัฒนธรรมสิงห์บลู วัฒนธรรมการ “ปลดโค้ช”

ตลอด 14 ปีของ “เสี่ยหมี” เทรนเนอร์ผู้เข้ามารับงานยังถิ่นสแตมฟอร์ด บริจด์ ถูกตะเพิดพ้นเก้าอี้มาแล้วถึง 9 คนด้วยกัน ทั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดโค้ชสเปเชียล วัน ผู้พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างยิ่งใหญ่ หรือ กุนซือผู้มากด้วยบารมีอย่าง คาร์โล อันเชลอตติ แม้กระทั่ง ลูกหม้อสโมสร ผู้พาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยใหญ่ของยุโรป ใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสรอย่าง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ก็ยังไม่เว้น โดนเฉดหัวออกจากทีมอย่างไม่ไยดี

เพราะทั้งหมดดันไปมีปัญหากับขาใหญ่ในทีม แทบทั้งสิ้น จากเสียงซุปซิบนินทาภายในและภายนอกสโมสรเอง ต่างไปในทิศทางเดียวกันว่า “เสี่ยหมี” ของพวกเขา เป็นคนอยู่เบื้องหลังการไล่โค้ช แทบทุกครั้ง และสิ่งที่ทำให้เหล่าเทรนเนอร์ต่างไม่พอใจ จนถึงขั้นโดนผลักไสออกจากสโมสรก็คือ

การโดนแทรกแซงการทำงานจากเจ้าของทีม

          คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าต้องทำงานบริหารทีมฟุตบอล แต่อำนาจการตัดสินในในหลาย ๆ อย่าง คุณไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เปรียบดังศิลปินที่ไม่สามารถสร้างสรรค์จินตนาการของตนเองได้เต็มทีม กลับต้องมานั่งทำงานตามความคิดของผู้อื่น

และที่ร้ายแรง จนส่งผลให้ความแตกหักเกิดขึ้นระหว่างผู้จัดการทีม และ เจ้าของทีมคือ อำนาจการตัดสินใจในการเสริมทัพนักเตะ หากเทรนเนอร์ต้องการนักเตะรายไหน พวกเขาไม่สามารถเดินเข้าไป และนำแข้งรายนั้นมาร่วมทีมได้ ถ้าเจ้าของสโมสร หรือบอร์ดบริหารรายอื่น ๆ ไม่เห็นด้วย

แต่เมื่อมองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลา 14 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า หากไม่มีวัฒนธรรมการปลดโค้ชในวันนั้น ทีมสิงโตน้ำเงินครามแห่งนี้ อาจจะยังหยุดอยู่กับที่ก็เป็นได้

 

เรือใบยังไร้ “เสน่ห์” มีเงินแล้ว มีแฟนไหม

“หล่อ เท่ห์ แต่ไม่มีเสน่ห์ สวยใส แต่ไร้แรงดึงดูด” เป็นวลีที่เรามักจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว มันฟังดูเหมือนจะดีในแง่มุมหนึ่ง แต่ก็ขาดหายไปในอีกแง่มุมที่เหลือ ทีมดังอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เช่นกัน เมื่อพวกเขาดูดี แต่ยังไม่มี เสน่ห์

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสโมสรที่ “โอ่อ่าที่สุด”

ร่ำรวยที่สุด ทันสมัยที่สุด ตลอดจนผลงานร้อนแรงที่สุดของเกาะอังกฤษ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” กลับต้องประสบปัญหานี้เข้าอย่างจัง ถึงพวกเขาจะมองว่า มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ตาม เพราะพวกเขาคือผู้มากไปด้วยทรัพย์สิน เงินทอง

ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ แทบจะเป็นสโมสรเดียวที่ลงทุนไปกับระบบอคาเดมี่ เกือบ 300 ล้านปอนด์ สนามของพวกเขาพร้อมพรั่งไปด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งระบบอินเตอร์เน็ต ไวไฟ ที่สามารถเชื่อมต่อให้สมาร์ทโฟนของคุณได้ เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าสู่ เอติฮัด สเตเดี้ยม แต่สิ่งหนึ่งที่เหล่าผู้ถือครองสโมสรเรือใบ ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยเงินของพวกเขาก็คือ

          มนต์ขลังของฟุตบอล

          เราปฏิเสธไม่ได้ว่า “เงิน” คือปัจจัยที่ส่งเสริมฟุตบอลอย่างมากในปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พรักพร้อมสิ่งนั้น (มีความหล่อ) แต่หาก “มนต์เสน่ห์ของฟุตบอล” คือสิ่งที่พวกเขาขาดหายไป และปัจจัยที่จะสามารถสร้างเสน่ห์นั้นให้เกิดขึ้นมาได้คือ แฟนบอล ผู้จงรักภักดีกับสโมสร สิ่งนี้ เงินยังไม่ใช่คำตอบ

ทรัพย์สินมากมายจากตะวันออกกลาง ยังไม่สามารถเปลี่ยน เอติฮัด สเตเดี้ยม อันแสนจะภาคภูมิใจของพวกเขา ให้กลายเป็นดั่ง โอลด์แทรฟฟอร์ด หรือ แอนฟิลด์ได้เลย

“โรงละครแห่งความฝัน ตามที่แฟนบอลยูไนเต็ด เรียกขาน คือสนามที่ผมไม่อยากไปเยือนมากที่สุด ในฐานะนักเตะ หรือผู้จัดการทีมก็ตาม เพราะเหล่าเรด อาร์มี่ ทำให้มันกลายเป็น นรกของทีมเยือน” เคนนี่ ดัลกลิช ตำนานแห่งหงส์แดง ลิเวอร์พูล เคยเปรยไว้ถึงสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด

เช่นเดียวกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือแห่งปีศาจแดง เคยกล่าวยกย่องสนาม แอนฟิลด์ของคู่รักคู่แค้นตลอดกาลว่า “ทุกครั้งที่ผมพาลูกทีมมาลงเตะกับลิเวอร์พูลในที่แห่งนี้ เลือดลมผมมักติดขัดเสมอ ความรู้สึกเหมือนกับว่า มีคนมาหายในรดต้นคอผมตลอดเวลา”

          เหล่านี้คือพลังอำนาจของมนต์ขลัง หรือ ผู้เล่นคนที่ 12

และมนต์เสน่ห์ของแมนฯ ซิตี้ที่ขาดไปคือ อำนาจของผู้เล่นคนที่ 12 นั้นเอง ซึ่งเหล่าพลพรรคชาว ซิตี้เซนส์ ยังไม่แกร่งพอจะต่อกรกับทั้ง เรด อาร์มี่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือสาวก เดอะค็อป แห่งลิเวอร์พูล

เสน่ห์ของฟุตบอล คือความมหัศจรรย์ และความมหัศจรรย์สามารถเกิดขึ้นได้จากแฟนบอลคนที่ 12 เหตุการณ์ เรด อาร์มี่ เคยทำสำเร็จแล้ว ที่คัมป์ นู ปี 1999 และเดอะ ค็อป ที่ อิสตันบูล