Tag Archives: ฟุตบอล

เอเย่นต์ ปลิงดูดเดือด หรือผู้ส่งเสริมแห่งวงการลูกหนัง

อาชีพ เอเย่นต์ในวงการฟุตบอล ถือว่าคือความแปลกใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาไม่ถึงศตวรรษ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีการเงิน มีทรัพย์สิ้นเข้ามาเกี่ยวข้อง อาชีพดูแลทรัพย์สิน หรือจัดการผลประโยชน์ จึงเกิดขึ้นมาด้วยเช่นกัน

นักฟุตบอลอาชีพแทบทุกคน ล้วนแต่มีความสามารถเมื่อพวกเขาอยู่ในสนามฟุตบอล แต่หากความเป็นไปได้นอกสนามแล้ว เอเย่นต์จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยค่อนข้างสำคัญ ที่สามารถนำพานักฟุตบอลให้โด่งดัง หรือพอจะอยู่รอดได้ ในวงการลูกหนังที่มีการแข่งขันสูงอย่างทุกวันนี้

และแน่นอน พวกเอเย่นต์เหล่านี้มักจะมีรายได้เป็นก่อเป็นกำ เมื่อลูกค้าในการดูแลของพวกเขา เกิดต้องการย้ายทีม หรือหาต้นสังกัดใหม่ที่ดีกว่า เปอร์เซนที่เอเย่นต์จะได้รับ จากการย้ายทีมในแต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับมูลค่าของการย้ายนั้น ๆ หากเราจะมองว่านี่คือสิ่งเลวร้ายก็ไม่ผิดนัก

บางคนก็มองว่า เอเย่นต์ เปรียบเสมือนปลิง ที่คอยสูบเลือดนักเตะ

“พวกเอเย่นต์ คือ ปลิง ที่คอยเกาะกินวงการฟุตบอล” อดีตบรมกุนซือแห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเคยกล่าวถึงอาชีพนี้ไว้อย่างออกรสชาติ

เพราะพวกเอเย่นต์นักเตะเหล่านี้ มักจะคอยกล่อม คอยพูดหว่านล้อมให้นักฟุตบอลในความดูแลของตน หาเรื่องย้ายทีมตลอดเวลา หาช่องทางในการย้ายต้นสังกัด เมื่อใดก็ตาม ดีลที่มีมูลค่าเกิดขึ้น เงินค่าตัวจะถูกหักออกเป็นเปอร์เซ็นรายได้ ของเหล่าเอเย่นต์ทันที

ตัวอย่างเช่น มิโล ไรโอล่า ผู้ถูกกล่าวหาว่าฟันเงินไปเกือบ ๆ 25 ล้านปอนด์ จากการยุแยงให้ ปอล ปอกบา ย้ายจากยูเวนตุส มาร่วมทัพปีศาจแดง ทั้งที่ตัวนักเตะ ไม่ได้กระสันจะย้ายทีมสักเท่าใด

แต่หากย้อนมองอีกมุม เอเย่นต์เหล่านี้ก็เป็นผู้ส่งเสริมได้เช่นกัน

เพราะหากวันใดสัญญาของคุณกับสโมสรต้นสังกัดหมดแล้ว เอเย่นต์เหล่านี้จะเป็นผู้วิ่งเต้น ช่วยเหลือคุณให้ได้รับสัญญาใหม่ ที่อาจจะมีค่าเหนื่อยมากกว่าเดิม โดยวิธีการใด ๆ ก็สุดแต่บุคคล

หรือในยามที่คุณกำลังจะโดนทีมของตนเองถีบหัวส่ง ตัดหางปล่อยวัด ไม่มีการต่อสัญญาออกไป คนพวกนี้แหละ จะช่วยวิ่งเต้นให้คุณได้มีต้นสังกัด

และในอีกหลาย ๆ ครั้ง พวกเขาจะคอยหาช่องทาง ส่งนักเตะในการดูแลของตนเอง ให้ได้ลงเล่นหรือร่วมทีมที่ดีขึ้น เพราะเอเย่นต์แต่ละคน ล้วนมีเส้นสาย มีลู่ทางลัดด้วยกันทั้งสิ้น

ซึ่งอาชีพเอเย่นต์นั้นสามารถเป็นได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน พวกเขาจะสูบเลือดคุณ ยุยง ส่งเสริมคุณให้หักหลังสโมสรที่ปลุกปั้นคุณมา หรือคอยช่วยเหลือคุณ หาแนวทาง หาต้นสังกัดให้คุณ เพื่อพัฒนาตนเอง เอเย่นต์ได้เงินที่ต้องการ นักเตะได้ลงเล่น ได้ชื่อเสียง หากมองดี ๆ แล้ว นี่ก็คือสัจธรรมของโลก การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมนั่นเอง

ผู้นำแห่งศาสตร์ และ ปราชญ์แห่งศิลป์ กุนซือสมองใสแห่งวงการฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นได้ทั้งศาสตร์ หรือฟุตบอลเป็นศิลป์ก็ได้ แม้จะผ่านมาเนินนานสักเพียงใด ก็ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด ว่าเกมกีฬาอันได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกชนิดนี้ เป็นศาสตร์ หรือ เป็นศิลป์

หากมองในแง่ของการเป็นศาสตร์แล้ว ฟุตบอลก็มีสูตรสำเร็จ มีแบบแผนและรูปแบบการเล่น สามารถคิด สามารถวางกลยุทธ์ หรือแท็คติกให้ก่อเกิดเป็นชัยชนะได้เช่นกัน

แต่หากลองมองในแง่ของการเป็นศิลป์ ฟุตบอลก็เป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬา ที่ต้องอาศัยจิตใจในการเล่น อาศัยจินตนาการ แรงขับเคลื่อนจากภายในของนักฟุตบอล พลังเสียเชียร์ของเหล่าสาวกริมสนาม ฟุตบอลจึงเปรียบเหมือนงานศิลปะที่ต้องอาศัยหัวใจในการทำ ซึ่งก็สามารถนำมาด้วยผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน เราจึงยังไม่สามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ฟุตบอลจัดอยู่ในรูปแบบใดกันแน่ โดยเฉพาะในปัจจุบันเมื่อมีสองกุนซือที่เหมือนแยกร่างมาสองด้าน

ผู้นำแห่งศาสตร์ โชเซ่ มูรินโญ่

กุนซือรายนี้ จัดเป็นเทรนเนอร์ที่แตกฉานอย่างมากในศาสตร์การทำทีมฟุตบอล ทุกการวางหมาก ทุกระบบ ทุกย่างก้าวที่ขับเคลื่อนไปของทีม ล้วนแต่ผ่านการคิดวิเคราะห์มาแล้วทั้งสิ้น

“โชเซ่ มูริโญ่ คือคนที่ใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก เขารู้แม้กระทั้ง เบอร์รองเท้า ของผู้รักษาประตู หมายเลข 3 ของทีมคู่แข่ง” อดีตลูกทีมคู่ใจของ มูรินโญ่ อย่างสลาตัน อิบราฮิโมวิช เคยกล่าวไว้ในหนังสือชีวประวัติของตนเอง

และคำพูดสุดคลาสสิกของมูรินโญ่ ที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกต่างยกย่องให้เขาเป็นเจ้าแห่งศาสตร์ฟุตบอลคือ “ไม่มีใครจะใส่ใจผู้แพ้ ที่เล่นฟุตบอลได้สวยงามหรอก”

ส่วนคู่ตรงข้ามอย่าง ราชญ์แห่งศิลป์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

         กุนซือชาวสเปน แสดงให้โลกได้เห็นแล้วว่า ฟุตบอลคือสิ่งที่สวยงาม มันคืองานศิลปะที่แฟนบอลทั่วหัวระแหงในโลกต้องการ

ด้วยรูปแบบการเล่นที่เป๊ปสร้างขึ้น ความสวยงาน ความลื่นไหลต่อเนื่อง ที่ไม่ใช่อาศัย แค่สูตรสำเร็จจากการคำนวณเท่านั้น มันยังต้องพึ่งพาจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงอารมณ์ และความรู้สึก เข้ามาเป็นอีกหนึ่งกลไกของการเล่นฟุตบอล

“หากคุณเล่นด้วยระบบ แบบแผน คู่ต่อสู้จะหาทางหยุดคุณได้ด้วยอีกหนึ่งแบบแผนเช่นกัน แต่หากใช้จินตนาการ สัญชาตญาณในการเล่น พวกเขาจะหยุดคุณยังไง” หนึ่งประโยคของอดีตกุนซือบาร์เซโลน่า ซึ่งเคยกล่าวไว้ เมื่อถูกถามถึงสไตล์การทำทีมของตนเอง

แต่ไม่ว่า ฟุตบอลจะเป็นศาสตร์ การเรียนรู้ เป็นวิชาเรียนอีกแขนง หรือฟุตบอลจะเป็นศิลปะ ที่ต้องอาศัยความรู้สึก จิตรวิญญาณในการเล่น กีฬาชนิดนี้ ก็ยังเป็นเกมการแข่งขันที่ตื่นเต้นเร้าใจที่สุด ฟุตบอลจะเป็นสูตรคำนวน หรือ สัญชาตญาณ มันอาจจะตัดสินกันด้วยแค่ คุณอยากให้มัน เป็นอะไรละ?

ระบบ “ กองหน้าตัวหลอก ” ของลิเวอร์พูล ดีจริง หรือเสียเวลา

ฟุตบอล จัดเป็นกีฬาที่มีแบบแผนให้เลือกใช้ และถูกปรับใหม่มากที่สุดในโลกของกีฬา และฟุตบอลก็เป็นหนึ่งชนิดกีฬา ซึ่งมีการพลิกแพลงแบบแผนในขณะแข่งขัน ได้มากที่สุดในโลกอีกเช่นกัน

เพราะตลอด 90 นาที เมื่อเพลงแข้งเข้าห้ำหั่นกันในสนาม ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง จะมาก จะน้อย ขึ้นอยู่กับแท็คติกของแต่ละทีม และระบบของแต่ละบุคคล

หงส์แดง ลิเวอร์พูลของเจอร์เก้น คล็อปป์ คืออีกหนึ่งสโมสรที่มีการพลิกแพลงระบบการเล่นได้หลากหลาย และสิ่งที่โดดเด่นหนึ่งในนั่นคือ ระบบเกมบุกแบบ “ False Nine ” หรือกองหน้าตัวหลอก

          ระบบดังกล่าวเคยโด่งแบบสุด ๆ ด้วยน้ำมือของจอมอัจฉริยะแห่งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ผู้ล่วงลับ อย่าง โยฮัน คัฟ  หรือในยุคปัจจุบันซึ่งยังผ่านพ้นมาได้ไม่นานก็คือ ทีมชาติสเปนชุดแชมป์โลกปี 2010

โดย บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เทรนเนอร์ของทีมกระทิงดุ ได้เลือกใช้งาน อันเดรส อิเนียสต้า มิดฟิลด์ตัวรุกจอมเทคนิค ยืนเป็นกองหน้าตัวหลอก และจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการสร้างประวัติศาสตร์

หลังจากเปลี่ยนถ่ายจากทีมชาติสเปน ระบบนี้ก็เริ่มห่างหายจากสายตาของแฟนบอลทั่วไป จนกระทั่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ลองนำมาติดตั้งยังสโมสร หงส์แดงลิเวอร์พูล ด้วยการเลือกให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ รับ บทบาท“ False Nine ”

          เมื่อได้รับความไว้ใจจากเจ้านาย บ็อบบี้ (ฟีร์มิโน่) ชื่อเล่นที่เด็กหงส์ตั้งให้ ก็ไม่ได้ทำให้คล็อปป์นั้นผิดหวังแต่อย่างใด ด้วยความที่เจ้าตัวเป็นนักเตะบราซิเลี่ยน ซึ่งใคร ๆ ที่ติดตาม ก็จะรับรู้กันดีว่า ชาวบราซิเลี่ยน มีทักษะชั้นยอดในการเล่นฟุตบอลเหนือชาติใด ๆ

แม้ฟีร์มิโน่ จะไม่ได้มีสกิลความโดดเด่นในการเลี้ยงบอล ครองบอลแบบเนย์มาร์ หรือการจบสกอร์อันเฉียบคมแบบ คูตินโญ่ แต่สิ่งหนึ่งที่กุนซือหงส์แดงมองเห็นในตัวอดีตเด็กฮอฟเฟ่นไฮม์ ว่าจะเข้ามารับบทกองหน้าตัวหลอกของทีมได้เป็นอย่างดีคือ มันสมองในการเล่นบอลอันชาญฉลาด ชนิดคิดไวทำไว โดดเด่นเกินใคร

เพราะกองหน้าตัวหลอก ในสไตล์ คล็อปป์ ไม่จำเป็นต้องจบสกอร์ให้คมกริบอะไรนัก หรือครองบอลเลี้ยงบอลให้ตื่นตาตื่นใจ เอาแค่พอประคองตัวเองได้ก็จบ แต่สิ่งสำคัญคือต้องฉลาดเป็นกรด และฟีร์มิโน่คือประเภทนั้น เขาสามารถวิ่งหาพื้นที่ได้ยอดเยี่ยม ปั่นป่วนของหลัง ดึงตัวประกบ ล่อหลอกให้เพื่อนร่วมทีมทำเกมรุกได้อย่างไร้ที่ติ

ซึ่งจริง ๆ แล้วบทบาทของกองหน้าตัวหลอก คือการ หลอกให้กองหลังคู่แข่งตามประกอบ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับทีมตนเอง แต่ถ้าทำประตูได้ ก็ถือเป็นโบนัส

นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงเลือกใช้ฟีร์มิโน่ แทนที่จะนำเงินไปทุ่มซื้อนักเตะกองหน้าราคาแพงอื่น ๆ

ทางเลือกที่ทำใจยาก “คนที่ใช่” หรือ “คนที่ชอบ” ถึงเวลาต้องตัดสินใจ

เชื่อไหมว่าในบางครั้ง ความรักมักจะมาในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่า เราจะมองมันในรูปแบบไหน จะหยิบจับมันเข้ามา ผสานรวมกับชีวิตอย่างไร บางคนเลือกคนที่คิดว่าใช่ แต่บางคนกลับเลือกคนที่ชอบ แล้วคุณล่ะ ตอนนี้อยากเลือกแบบไหน ?

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เลือก โชเซ่ มูรินโญ่

หน้าที่อันหนักอึ้งของกุนซือสเปเชียลวัน แม้ตอนตอบรับงานผีแดงใหม่ ๆ เจ้าตัวจะบอกว่า ตนเองได้เปลี่ยนฉายาใหม่เป็น เดอะโอลลี่วันแล้วก็ตาม มีโอกาสได้เข้ามารับไม้ต่อจาก อดีตอาจารย์ของตน ท่านหลุยส์ ฟาน กัล

ทั้งสื่อในหน้าหนังสือพิมพ์ โลกโซเชียลมีเดีย ตลอดจนแฟนบอลเรด อาร์มี่ทุกหัวระแหงบนโลกนี้ ต่างปลื้นใจน้ำร่วงไหลอย่างปิติ เมื่อทีมรักของพวกเขา ได้เลือก มูรินโญ่ เข้ามา เพื่อหวังจะกอบกู้ อาณาจักรผีแดงที่พังครืนจากน้ำมือของ เดวิด มอยส์ และ ฟาล กัล หวังว่าจะได้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยน้ำมือของเฮียมู

แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่ทีมสีแดงจากเมืองแมนเชสเตอร์ ต้องยอมรับให้ได้ คือ สไตล์การทำทีมของ เดอะโอลลี่วันผู้นี้ เป็นสิ่งตรงข้ามกับรางเหย้าอันฝังลึกของ สโมสรอสูรแดงเพลิง ซึ่งเถลิงความยิ่งใหญ่จากการเล่นเกมบุกอันเร้าใจ ใส่เต็มแบบเกินพิกัด

ภาพของทีมที่พร้อมจะดาหน้าบุกแหลกแฉกแนวรับศัตรู คือ มโนความทรงจำของแฟนผี อันยังติดตรึงกับอดีตกุนซือ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ได้มอบไว้

หากมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาได้รับจากมูรินโญ่ แม้จะมีโทรฟี่ แชมป์ ยูโรป้า ลีก และลีก คัพ มานอนกอด แต่สไตล์การเล่นแบบรัดกุม จนถูกบันดาแฟนบอลต่างทีมหยอกล้อว่า “แผนรถบัส” คือสิ่งที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องรับไป

เพราะบอร์ดบริหารของพวกเขา เลือกคนที่ชอบ มากกว่า คนที่ใช่

ด้วยโปรไฟล์สุดหรู บวกกับชื่อเสียงอันเลื่องลือ ของเทรนเนอร์สัญชาติโปรตุเกส ทำให้เหล่าบุคคลระดับสูงของผีแดง ร้อนรนทนไม่ไหว รีบไปฉุดกระชาก เข้ามารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของทีมให้ได้ ขณะที่มูรินโญ่ยังคงว่างงาน

เมื่อคนที่ชอบ ดันมีลักษณะบุคลิก ที่ขัดแย้งกับตัวตนของสโมสร คนที่ชอบ จึงกลับกลายเป็นคนที่ยัง ไม่ใช่ ให้ลองนึกสภาพว่าคุณเป็นรถสูตรหนึ่ง ที่วิ่งด้วยความเร็วระดับพระกาฬ และผ่านการถูกใช้งานโดยนักแข่ง F1 มือฉมัง อันนิยมชมชอบความเร็วและความตื่นเต้น

แล้ววันหนึ่ง คุณกลับมาถูกใช้งานโดย เจ้าหน้าที่ตำรวจจบใหม่ ผู้ยึดมันในความปลอดภัย เชื่อใจในความถูกต้องเป็นระเบียบ ใช่ คุณอาจจะประสบความสำเร็จ แต่ในความสำเร็จ อาจเต็มไปด้วยความขัดแย้งไม่ลงตัว

เพราะอะไรที่มันไม่ใช่ เกรงว่าถ้าดันทุรังไป อาจจะไม่มีอะไรดีขึ้น หรือไม่แล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะสูญเสีย อัตลักษณ์ “ที่ใช่” ไปตามกาลเวลา

เสื้อเบอร์ 6 แดนรับของทีม สำคัญที่เบอร์เสื้อ หรือไม้แขวนเสื้อ

หัวหอกผู้กระทุ้งตาข่าย หรืออาจรวมถึงมิดฟิลด์ตัวรุกผู้บัญชาเกมบุกของทีม คือตำแหน่งที่มักจะได้รับการยกย่อง ได้รับชื่อเสียงคำชื่นชมจากเหล่าแฟนบอลมากมายกว่าผู้เล่นในบทบาทอื่น ๆ

เพราะในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน เกมรุกถือเป็นสิ่งที่แฟนบอลนิยมชมชอบ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่ผู้เล่นซึ่งรับบทบาทหน้าที่ดังกล่าว จะถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง

หากแต่ฟุตบอลนั้น ไม่ใช่เกมกีฬาที่ลงเล่นเพียงผู้เดียว นักเตะทั้ง 11 คน ในสนาม จึงถือว่ามีความสำคัญเทียบเท่ากันทั้งหมด เพียงแต่แตกต่างหน้าที่กันเท่านั้น เพราะหากเจาะลึกถึงรายละเอียด สโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ คือทีมที่เด่นทั้งรุก ทั้งรับ

และผู้เล่นหมายเลข  6 หรือตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ จึงมีความสำคัญเทียบเท่ากับตำแหน่งอื่น

 “เกมรุกอันดุเดือด ยิงประตูเป็นว่าเล่น คือปัจจัยที่จะส่งผลให้ทีมของคุณ ได้รับชัยชนะ แต่เกมรับอันเหนียวแน่ รัดกุม จะทำให้คุณเป็นแชมป์ ” คำกล่าวสุดแสนคลาสสิก จากปากคำผู้พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเถลิงความยิ่งใหญ่มานานปี อย่าง เซอร์ อเล็กเฟอร์ กูสัน ไม่เคยผิดเพี้ยน

ซึ่งมิดฟิลด์ตัวรับ คือผู้เล่นที่เปรียบเหมือนด่านแรกของเกมรับ เมื่อยามที่ทีมต้องรับมือกับเกมบุกจากคู่แข่ง นักเตะหมายเลข 6 จะคอยปัดกวาด เก็บงาน รับแรงปะทะ อันรุนแรงไว้ ก่อนบอลจะถึง 2 เซนเตอร์แบ็คของทีม งานที่หนักหน่วย จะแบ่งเบาลงทันที และการเล่นเกมป้องกันจะง่ายลง

ยอดทีมทั้งหลาย จึงจำเป็นต้องมีผู้เล่นชั้นเซียนไว้รับบทบาทเบอร์ 6

          ในสมัยการคุมทีมท่านเซอร์ ของเด็กผี ก็มีขาโหดตัวรับอย่าง รอย คีน , พอล สโคลส์ ที่อยู่เบื้องหลังถ้วยรางวัลมากมาย

เดอะ สเปเชียลวัน อย่างมูรินโญ่ ก็มีนักเตะคู่บุญอย่าง โคล้ด มาเกเลเล่ หรือ อาร์แซน เวนเกอร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่ายได้ ก็เพราะกุนซือชาวฝรั่งเศสมี ปาทริค วิเอร่า ที่คอยกำราบแนวรุกคู่แข่ง

ปัจจุบัน นักเตะระดับโลกในตำแหน่งนี้ เหลือน้อยลงทุกที ที่เราพอจะมองเห็นได้ก็มี คาเซมิโร่ จากค่ายราชัน ชุดขาว , เซร์จิโอ บุสเก็ต จากบาร์เซโลน่า คลับ , อาร์ตูโร่ วิดัล จากเสือใต้บาร์เยิน มิวนิค

จึงเห็นได้ว่านักเตะเบอร์ 6 ระดับแถวหน้า มักอยู่กับทีมที่มักจะประสบความสำเร็จในระดับสูง และหากย้อนมองมายังลีกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก พวกเขายังขาดนักเตะระดับแถวหน้าในตำแหน่งนี้

เนร์มานย่า มาติช , วิคเตอร์ วานยาม่า หรืออันเดร์ เอร์เรร่า ก็ยังไม่ใช่ระดับโลก เห็นแต่จะมีแค่ เอ็นโกโล่ กองเต้ ของเชลซีเท่านั้น ที่พอจะนับได้  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่าเหตุใด ทีมจากอังกฤษถึงห่างหายจากแชมป์ถ้วยใหญ่สุดของยุโรปไปหลายปี

วัฒนธรรมที่เปลี่ยนถ่าย สิงห์บลู ยักษ์ใหญ่สีฟ้าแห่งลอนดอน

วัฒนธรรม คือระบบ แบบแผน ที่ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน ทุกแห่งหนหากมีมนุษย์โลกครอบครองเป็นเจ้าของ ที่แห่งนั้นจะต้องมีวัฒนธรรม

แบบแผนที่ยึดต่อกับมา แม่เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป บางครั้ง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นบ่อเกิดของปัญหาใหญ่ ที่ยังหาทางแก้ไขได้ยากเช่นกัน

นับตั้งแต่ปี 2004 เมื่อ มหาเศรษฐีนักการเมืองผู้คลั่งไคล้ฟุตบอล โรมัน อับราโมวิช นำเงิน 140 ล้านปอนด์ เข้ามาเทคโอเวอร์ สโมสรฟุตบอล เชลซี ก็ผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์ต้น ๆ ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ

14 ปีภายใต้การนำของ “เสี่ยหมี” ที่แฟนฟุตบอลเรียกขาน ทีมดังจากลอนดอน ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในแง่ของความนิยม และถ้วยรางวัล 4 แชมป์พรีเมียร์ลีก  , 4 แชมป์ เอฟเอคัพ , 1 แชมป์ลีกคัพ , 2 ถาดคอมมิวนิตีชีลด์ , 1 แชมป์ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก และ 1 แชมป์ยูโรป้า ลีก ทั้งหมด 13 โทรฟี่ที่ อับราโมวิช นำมา คือสิ่งที่พลิกโฉมหน้าสโมสรอย่างแท้จริง

แต่สิ่งหนึ่งที่ก่อเกิดพร้อม ๆ กับความสำเร็จนั้นคือ วัฒนธรรมสิงห์บลู วัฒนธรรมการ “ปลดโค้ช”

ตลอด 14 ปีของ “เสี่ยหมี” เทรนเนอร์ผู้เข้ามารับงานยังถิ่นสแตมฟอร์ด บริจด์ ถูกตะเพิดพ้นเก้าอี้มาแล้วถึง 9 คนด้วยกัน ทั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดโค้ชสเปเชียล วัน ผู้พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างยิ่งใหญ่ หรือ กุนซือผู้มากด้วยบารมีอย่าง คาร์โล อันเชลอตติ แม้กระทั่ง ลูกหม้อสโมสร ผู้พาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยใหญ่ของยุโรป ใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสรอย่าง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ก็ยังไม่เว้น โดนเฉดหัวออกจากทีมอย่างไม่ไยดี

เพราะทั้งหมดดันไปมีปัญหากับขาใหญ่ในทีม แทบทั้งสิ้น จากเสียงซุปซิบนินทาภายในและภายนอกสโมสรเอง ต่างไปในทิศทางเดียวกันว่า “เสี่ยหมี” ของพวกเขา เป็นคนอยู่เบื้องหลังการไล่โค้ช แทบทุกครั้ง และสิ่งที่ทำให้เหล่าเทรนเนอร์ต่างไม่พอใจ จนถึงขั้นโดนผลักไสออกจากสโมสรก็คือ

การโดนแทรกแซงการทำงานจากเจ้าของทีม

          คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าต้องทำงานบริหารทีมฟุตบอล แต่อำนาจการตัดสินในในหลาย ๆ อย่าง คุณไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เปรียบดังศิลปินที่ไม่สามารถสร้างสรรค์จินตนาการของตนเองได้เต็มทีม กลับต้องมานั่งทำงานตามความคิดของผู้อื่น

และที่ร้ายแรง จนส่งผลให้ความแตกหักเกิดขึ้นระหว่างผู้จัดการทีม และ เจ้าของทีมคือ อำนาจการตัดสินใจในการเสริมทัพนักเตะ หากเทรนเนอร์ต้องการนักเตะรายไหน พวกเขาไม่สามารถเดินเข้าไป และนำแข้งรายนั้นมาร่วมทีมได้ ถ้าเจ้าของสโมสร หรือบอร์ดบริหารรายอื่น ๆ ไม่เห็นด้วย

แต่เมื่อมองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลา 14 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า หากไม่มีวัฒนธรรมการปลดโค้ชในวันนั้น ทีมสิงโตน้ำเงินครามแห่งนี้ อาจจะยังหยุดอยู่กับที่ก็เป็นได้

 

เรือใบยังไร้ “เสน่ห์” มีเงินแล้ว มีแฟนไหม

“หล่อ เท่ห์ แต่ไม่มีเสน่ห์ สวยใส แต่ไร้แรงดึงดูด” เป็นวลีที่เรามักจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว มันฟังดูเหมือนจะดีในแง่มุมหนึ่ง แต่ก็ขาดหายไปในอีกแง่มุมที่เหลือ ทีมดังอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เช่นกัน เมื่อพวกเขาดูดี แต่ยังไม่มี เสน่ห์

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสโมสรที่ “โอ่อ่าที่สุด”

ร่ำรวยที่สุด ทันสมัยที่สุด ตลอดจนผลงานร้อนแรงที่สุดของเกาะอังกฤษ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” กลับต้องประสบปัญหานี้เข้าอย่างจัง ถึงพวกเขาจะมองว่า มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ตาม เพราะพวกเขาคือผู้มากไปด้วยทรัพย์สิน เงินทอง

ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ แทบจะเป็นสโมสรเดียวที่ลงทุนไปกับระบบอคาเดมี่ เกือบ 300 ล้านปอนด์ สนามของพวกเขาพร้อมพรั่งไปด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งระบบอินเตอร์เน็ต ไวไฟ ที่สามารถเชื่อมต่อให้สมาร์ทโฟนของคุณได้ เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าสู่ เอติฮัด สเตเดี้ยม แต่สิ่งหนึ่งที่เหล่าผู้ถือครองสโมสรเรือใบ ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยเงินของพวกเขาก็คือ

          มนต์ขลังของฟุตบอล

          เราปฏิเสธไม่ได้ว่า “เงิน” คือปัจจัยที่ส่งเสริมฟุตบอลอย่างมากในปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พรักพร้อมสิ่งนั้น (มีความหล่อ) แต่หาก “มนต์เสน่ห์ของฟุตบอล” คือสิ่งที่พวกเขาขาดหายไป และปัจจัยที่จะสามารถสร้างเสน่ห์นั้นให้เกิดขึ้นมาได้คือ แฟนบอล ผู้จงรักภักดีกับสโมสร สิ่งนี้ เงินยังไม่ใช่คำตอบ

ทรัพย์สินมากมายจากตะวันออกกลาง ยังไม่สามารถเปลี่ยน เอติฮัด สเตเดี้ยม อันแสนจะภาคภูมิใจของพวกเขา ให้กลายเป็นดั่ง โอลด์แทรฟฟอร์ด หรือ แอนฟิลด์ได้เลย

“โรงละครแห่งความฝัน ตามที่แฟนบอลยูไนเต็ด เรียกขาน คือสนามที่ผมไม่อยากไปเยือนมากที่สุด ในฐานะนักเตะ หรือผู้จัดการทีมก็ตาม เพราะเหล่าเรด อาร์มี่ ทำให้มันกลายเป็น นรกของทีมเยือน” เคนนี่ ดัลกลิช ตำนานแห่งหงส์แดง ลิเวอร์พูล เคยเปรยไว้ถึงสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด

เช่นเดียวกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือแห่งปีศาจแดง เคยกล่าวยกย่องสนาม แอนฟิลด์ของคู่รักคู่แค้นตลอดกาลว่า “ทุกครั้งที่ผมพาลูกทีมมาลงเตะกับลิเวอร์พูลในที่แห่งนี้ เลือดลมผมมักติดขัดเสมอ ความรู้สึกเหมือนกับว่า มีคนมาหายในรดต้นคอผมตลอดเวลา”

          เหล่านี้คือพลังอำนาจของมนต์ขลัง หรือ ผู้เล่นคนที่ 12

และมนต์เสน่ห์ของแมนฯ ซิตี้ที่ขาดไปคือ อำนาจของผู้เล่นคนที่ 12 นั้นเอง ซึ่งเหล่าพลพรรคชาว ซิตี้เซนส์ ยังไม่แกร่งพอจะต่อกรกับทั้ง เรด อาร์มี่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือสาวก เดอะค็อป แห่งลิเวอร์พูล

เสน่ห์ของฟุตบอล คือความมหัศจรรย์ และความมหัศจรรย์สามารถเกิดขึ้นได้จากแฟนบอลคนที่ 12 เหตุการณ์ เรด อาร์มี่ เคยทำสำเร็จแล้ว ที่คัมป์ นู ปี 1999 และเดอะ ค็อป ที่ อิสตันบูล

เจมส์ มิลเนอร์ นักเตะที่โค้ชทุกคนหลงรัก

แฟนฟุตบอลบางกลุ่ม นิยมชมชอบนักเตะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ นักฟุตบอลที่เปรียบเสมือนพ่อมดแห่งวงการลูกหนัง เจ้าเหมียวแห่งอาร์เจนไตน์ มักจะแสดงสิ่งที่เหลือการคาดคะเนของผู้อื่นเสมอ หรือคนบางพวกอาจจะชื่นชอบยอดแข้งที่เต็มไปด้วยพรแสวงอันโดดเด่น คริสเตียนโน้ โรนัลโด้ ผู้ที่พิสูจน์ให้ทั้งโลกเห็นว่า ความพยายาม เอาชนะทุกอย่างบนโลกได้ แค่คุณขยัน ขยัน และขยัน

ทั้งสองคือนักฟุตบอลประเภทที่แฟนลูกหนังทั่วโลกต่างยอมรับ ยกย่อง ว่านี่แหละ บุคคลในอุดมคติของพวกเขา

แต่ยังมีนักฟุตบอลอีกหนึ่งประเภท ที่แม้ไม่ได้เป็นที่คลั่งไคล้จากเหล่าแฟนซอคเกอร์มากนัก หากสำหรับเทรนเนอร์ หรือโค้ชแล้ว นี่แหละ คือฟันเฟืองที่ขาดไม่ได้

เจมส์ มิลเนอร์ คือนักเตะประเภทนั้น

          แม้ไม่ได้เปี่ยมล้นไปด้วยพรสวรรค์ระดับเดียวกับเมสซี่ หรือเฉียบคมในสรีสะร่างกาย อันบ้าคลั่งแบบโรนัลโด้  แต่มิลเนอร์มีสิ่งหนึ่งที่ผู้จัดการทีมแทบทุกคนชื่นชอบ คือ สั่งอย่างไร ได้อย่างนั้น ไม่มีปริปาก

มานูเอล เปเยกรินี่ อดีตเทรนเนอร์ผู้เคยพา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้เคยออกมากล่าวถึงอดีตลูกทีมรายนี้ว่า “เมื่อผมรู้ว่า บอร์ดไม่ต้องการต่อสัญญามิลเนอร์ ผมกระโดดเข้าขวางอย่างเต็มกำลัง แต่สุดท้ายผมก็ต้องเสียเขาไป มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริง ๆ ที่ทีมต้องขาดนักเตะอย่างเขา”

หากเปรียบกับสังคมทหาร อดีตเด็กปั้นลีดส์ ยูไนเต็ดผู้นี้ ก็เปรียบดังผู้ใต้บังคับชา ที่พร้อมจะตายเพื่อคำสั่งของผู้บัญชาการอย่างแท้จริง

นักเตะตามสั่งที่เจ้านายหลงรัก

          เงินค่าจ้างจำนวน 100,000 ปอนด์ จากหงส์แดง ลิเวอร์พูล ถูกมอบให้มิลเนอร์ทันที เมื่อเจ้าตัวกลายเป็นนักเตะ ฟรีเอเยนต์

เพราะโค้ชฟุตบอลทุกคนบนโลกนี้ ล้วนอยากได้นักเตะที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มความสามารถ แม้จะไม่ใช้ตำแหน่งถนัดที่เคยเล่นมาแล้วก็ตาม

เริ่มต้นด้วยการเล่น ปีกขวา ในสมัยแรกค้าแข้ง ต่อด้วยถอยมาเล่นในแดนกลางมากขึ้นเมื่ออายุเริ่มเพิ่มพูน ตลอดจนการโยกแบบสุดขั้ว มาเป็นฟูลแบ็คฝั่งซ้าย ไม่ว่าเจ้านายต้องการให้เล่นตรงไหน หากสามารถทำได้ ไม่เคยมีครั้งไหนที่อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษผู้นี้จะอิดออด

โค้ชฟุตบอล รวมถึงทีมงานทุกคนต่างต้องการนักเตะประเภทนี้ นักเตะมืออาชีพ

ผู้ซึ่งเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตน เจมส์ มิลเนอร์ คือหนึ่งในนักเตะ “มืออาชีพ” ที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในยุคที่หลายๆคน ต่างยึดมั่นตนเองเป็นใหญ่ เชื่อใจในสิ่งลวงตาผิดๆ ข้านี้แหละเก่งกาจ ข้านี่แหละยอดเยี่ยม จนหลงลืมไปว่า บางครั้งยอดนักฟุตบอลที่แท้จริง จะต้องเป็น “นักฟุตบอลมืออาชีพ” ไม่ใช่ “มีอาชีพเป็นนักฟุตบอล”

เมื่อนักฟุตบอล ไม่ใช่แค่นักฟุตบอล

สรรพสิ่งคือการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงคือการคงอยู่ เพราะสิ่งใดไม่วิวัฒน์ สิ่งนั้นย่อมดับสูญ ความเป็นจริงนี้ ได้สะท้อนให้เห็นในทุก ๆ วัฏจักรรอบตัวเรา ไม่เว้นแม้กระทั่ง กีฬาฟุตบอล

เมื่อครั้งเก่าก่อนในโลกฟุตบอล

ผู้เล่น 11 คน ของทั้งสองทีม มีหน้าที่แค่ทำตามคำสั่งของผู้ฝึกสอน ลงสนามโชว์ทักษะความสามารถตนเอง ที่เฝ้าขัดเกลามาด้วยความมานะอดทน เข้าห้ำหั่นกันชนิดไม่มีใครยอมใคร

แต่ฟุตบอล ก็ย่อมต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความแปรผันดังกล่าว คงจะเป็นหนึ่งในความเห็นของ ตำนานนักฟุตบอลทีมชาติอิตาลี อย่าง โรแบร์โต บัจโจ ที่ได้ร่ายไว้เกี่ยวกับนักฟุตบอลยุคปัจจุบัน

“สมัยที่ผมยังค้าแข้งอยู่ นักฟุตบอลอย่างเรา ๆ มีหน้าที่ไม่มากนัก ฝึกซ้อมให้หนักอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง และทำตามคำสั่งของกุนซือ ในยามที่ลงสนามแข่ง”

“แต่ในปัจจุบันนี้ พวกเขากลับทำตัวเองอย่างกับเป็นนักแสดง ต้องมีการจัดแต่งทรงผม ออกแบบทรงผม ฝึกซ้อมท่าเต้นเวลาทำประตูได้ ซึ่งบางทีผมก็ยังสงสัยว่า ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมทีมผม หรือเกิดขึ้นในช่วงการค้าแข้งของผม เราจะมีชีวิตรอดจากการถูกลงโทษบนม้านั่งสำรองได้อย่างไร”

ความเห็นของอดีตหัวหอกทีมอัซซูรี่ คือเครื่องสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยของฟุตบอล เมื่อนักฟุตบอล ไม่ได้ลงเล่นแค่เตะลูกหนังกลม ๆ อีกต่อไป

เพราะปัจจุบัน “มูลค่า” คือตัวขับเคลื่อนทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้ฟุตบอล

เมื่อก้าวเข้ามาเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก “เม็ดเงิน” จึงหลั่งไหลเข้ามาอย่างมากมายมหาศาล นักฟุตบอลจึงกลายเป็นอาชีพที่ทรงอิทธิพลอย่างมากอาชีพหนึ่งของโลก ชื่อบนหลังเสื้อแข่งของพวกเขา ไม่ใช่มีไว้แค่ให้โฆษกใช้เรียกขานเมื่อก้าวเท้าลงบนผืนหญ้าอีกต่อไปแล้ว

มันยังหมายถึง แบรนด์ หมายถึงเครื่องหมายการค้า ที่สามารถกอบโกยเม็ดเงินได้อย่างมากมายมหาศาล ส่งผลให้ นักค้าแข้งลูกหนังหลายๆคน ต้องสร้างเอกลักษณ์ สร้างภาพติดตาให้แฟนบอลจดจำ เพราะเมื่อไหร่ คุณตกเป็นเป้าสนใจของเหล่าสาวกลูกหนัง ชื่อของคุณ ก็สามารถทำเงินให้กับตัวเองได้ทันที

ตัวเลข 93 ล้านดอลลาร์ คือรายได้ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเตะเรอัล มาดริด ผู้ถือครองตำแหน่งนักกีฬาที่ทำเงินได้มากที่สุดในโลก โดย 35 ล้านดอลลาร์ (1,225 ล้านบาท) นั้น มาจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา

แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ความแน่นอนอย่างเดียวของโลกใบนี้ คือความไม่แน่นอน ฟุตบอลก็เช่นกัน แม้จะพบกับการเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหน โลกลูกหนังก็ยังหมุนต่อไป อย่างไม่รู้จบ