Author Archives: James H. Tomaszewski

ฤดูที่แตกต่างของ อเล็กซิส ซานเชซ

ภายหลังการโยกย้ายสังกัดเมื่อช่วงตลาดเดือนมกราคม ในฤดูกาล 2017/2018 ที่ อเล็กซิส ซานเชซ ดาวยิงทีมชาติชิลี ได้ย้ายสังกัดมาอยู่ร่วมกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้จุดประกายความหวังในใจแฟนบอลว่า ประสิทธิภาพเกมรุกของทีมจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น และจะมาเป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุกให้กลับมาทะลวงตาข่ายคู่ต่อสู้ได้ดั่งในอดีตที่ผ่านมา

จวบจนในเวลานี้ ศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2018/2019 ได้เดินทางเข้าสู่ช่วงท้ายฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย นับเป็นเวลากว่า 1 ปีที่ อเล็กซิส ซานเชซ ได้ย้ายถิ่นฐานจากเมืองลอนดอนมาสู่เมืองแมนเชสเตอร์ แฟนบอล นักวิเคราะห์ และเหล่านักเตะระดับตำนานของสโมสร ต่างให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า นี่ไม่ใช่ อเล็กซิส ซานเชซ คนเดิมกับที่เคยอยู่ที่ อาร์เซนอล

ถ้าอย่างนั้นจริง ๆ แล้ว อเล็กซิส ซานเชซ คนเดิมที่ทุกคนต่างพูดถึงในอดีตเป็นอย่างไร

ตลอดการค้าแข้งกับทางสโมสรปืนใหญ่ อาร์เซนอล ก่อนที่จะย้ายทีม อเล็กซิส ซานเชซ ถือเป็นแนวรุกคนสำคัญของทางสโมสรเคียงข้างกับนักเตะอย่าง เมซุส โอซิล ภายใต้การทำทีมของกุนซือขงเบ้งเลือดน้ำหอมอย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ โดยสถิติในการลงเล่นช่วงท้ายตลอด 1 ปีหลังก่อนย้ายทีม ซานเชซ มีสถิติการลงเล่นไปทั้งสิ้น 57 นัด ยิงไปทั้งสิ้นถึง 31 ประตู จ่ายให้เพื่อนร่วมทีมยิง 13 ประตู โดยมีค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมกับประตูอยู่ที่ 0.77 ประตูต่อเกม และมีการสร้างโอกาสยิงประตูเกมละ
3.5 ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสถิติการจ่ายสร้างสรรค์โอกาสเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4 ครั้งต่อเกม และสามารถเลี้ยงผ่านคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกม
อยู่ที่ 2.5 ครั้ง

ในทางกลับกัน ภายหลังการย้ายมาร่วมทีมกับทางสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซานเชซ มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 0.31 ประตูต่อเกม โดยสร้างโอกาสยิงไปทั้งสิ้น 1.3 ครั้งต่อเกม จ่ายลูกสำคัญเฉลี่ย 1.7 ครั้งต่อเกม และสามารถเลี้ยงผ่านคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 2.2 ครั้งต่อเกม

โดย อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีม อาร์เซนอล ที่รู้จักทุกแง่มุมถึงข้อดีข้อด้อยของนักเตะรายนี้เป็นอย่างดี ได้ให้ความเห็นกับทางสื่ออังกฤษถึงเหตุผลที่เจ้าตัวไม่สามารถโชว์ศักยภาพของตัวเองได้อย่างแท้จริง จนทำให้ประสบปัญหาฟอร์มตกอย่างหนักในช่วงหลังว่า “ผมคิดว่า อเล็กซิส ได้สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของเขาที่จะทำให้เขาโชว์ศักยภาพออกมาได้เต็มที่คือ การนำความเชื่อมั่นที่เขามีต่อตัวเอง มาแปรเปลี่ยนเป็นพลังเพื่อใช้ในการดวลกับนักเตะฝ่ายตรงข้าม”

เพราะฉะนั้นปัญหาทั้งหมดที่ทาง ซานเชซ กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ อาจไม่ใช่ปัจจัยภายนอก แต่อาจจะเป็นปัญหาภายในสภาพจิตใจ เนื่องจากในอดีตที่เจ้าตัวเคยได้รับการยกย่องจากบรรดาแฟนบอลทีมเก่าอย่าง อาร์เซนอล ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับบรรดาแฟนบอลของทาง ยูไนเต็ด ที่ยังไม่ยอมรับความสามารถในตัวนักเตะ ดังนั้นหากมองในอีกมุม ถ้า
อเล็กซิส ซานเชซ ต้องการเรียกความมั่นใจกลับมา อาจจำเป็นต้องปล่อยวางอดีตไว้เบื้องหลัง และหันกลับมาสู้อีกครั้งในฐานะนักเตะธรรมดาคนหนึ่ง และแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาให้เหล่าแฟนบอลได้เห็นว่า เขานี่แหละ คือนักเตะที่เหมาะสมกับค่าเหนื่อยอันดับหนึ่งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง

จตุรเทพปราการหลังแห่งฤดูกาล 2018/2019

“ศักยภาพในเกมรุกของทีมจะเป็นจุดชี้วัดชัยชนะ แต่ศักยภาพในเกมรับจะส่งผลให้คุณเป็นแชมป์” นี่คือคำกล่าวของบรมกุนซือผู้สร้างตำนานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้แก่สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในตำแหน่งปราการหลังของทีม ที่ถือเป็นรากฐานสำคัญในการนำพาทีมฟุตบอลทีมหนึ่งประสบความสำเร็จในโลกของฟุตบอล

และในเวลานี้ การแข่งขันฤดูกาล 2018/2019 ได้ดำเนินมาจนใกล้จะถึงปลายทางแล้ว แต่ละสโมสรต่างกำอาวุธที่มีห้ำหั่นใส่กันอย่างดุเดือด แน่นอนว่าสิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือเหล่าบรรดากองหลังที่จะคอยปกป้องไม่ให้ประตูที่ทีมสามารถทำได้ กลายเป็นไร้ความหมายเมื่อโดนทะลวงป้อมปราการเข้ามาทำประตูพลิกแซงไปคว้าชัยชนะในภายหลัง

แล้วมีนักเตะตำแหน่งกองหลังรายใดบาง ที่ทำผลงานอย่างโดดเด่นที่สุดในฤดูกาลนี้

อายเมริค ลาปอร์เต้ปราการหลังชาวฝรั่งเศสของสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นหนึ่งในกองหลังตัวหลักภายใต้การนำทัพของกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดยตลอดการลงเล่นในฤดูกาล 2018/2019 ลาปอร์เต้ ถือเป็นหนึ่งในกองหลังรูปแบบสมัยใหม่ ที่นอกจากจะต้องมีการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่นแล้วนั้น ยังต้องมีการวางบอลทำเกมจากแนวหลังได้อย่างยอดเยี่ยม โดยมีสถิติการผ่านบอลสำเร็จอยู่ที่ 92 เปอร์เซ็นต์ แบ่งเป็นการผ่านบอลเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 85.6 ครั้ง ผ่านบอลยาวเฉลี่ย 5 ครั้งต่อเกม และเคลียร์บอลอันตรายเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 2.6 ครั้ง

จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กองหลังวัยเก๋าสายพันธุ์ดุของสโมสร ยูเวนตุส ที่ถึงแม้จะอยู่ในวัยที่ล่วงเลยถึง 34 ปี แล้ว แต่ด้วยฝีมือและประสบการณ์ทำให้ยังยึดตำแหน่งแผงหลังตัวหลัก และสร้างผลงานให้กับสโมสรได้ยอดเยี่ยมไม่ต่างจากเดิม ด้วยผลงานการยืนคุมตำแหน่งและความนิ่งที่สร้างความมั่นคงในแดนหลังให้กับทีม พร้อมสถิติการเคลียร์บอลอันตรายหน้ากรอบเขตโทษเฉลี่ยถึง 3.4 ครั้งต่อเกม และชนะการดวลกลางอากาศเฉลี่ยต่อเกม 2.2 ครั้ง ทำให้ยังคงยึดตำแหน่งกองหลังอันดับต้น ๆ ของโลกได้เรื่อยมา

คาลิดู คูลิบาลี่ปราการหลังร่างยักษ์แห่งทัพนาโปลี ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการพาสโมสรท้าทายขั้วอำนาจใหญ่ในปัจจุบันของสโมสรในอิตาลีอย่าง ยูเวนตุส ด้วยความเร็วและการยืนปักหลักในแดนหลังอย่างมั่นคง บวกกับสถิติการเข้าสกัดสำเร็จเฉลี่ยถึง
 2 ครั้งต่อเกม แย่งบอลจากคู่แข่งสำเร็จ 1.2 ครั้งต่อเกม บล็อกลูกยิงคู่แข่งเฉลี่ย 1 ครั้งต่อเกม และมีสถิติการชนะการดวลลูกกลางอากาศเฉลี่ยต่อเกมสูงถึง 2.4 ครั้ง ทำให้ คาลิดู คูลิบาลี่ เป็นหนึ่งในกองหลังอันดับต้น ๆ ของโลก และได้รับความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป และหนึ่งในนั้นคือสโมสรอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

สุดท้ายคือ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ สุดยอดปราการหลังของสโมสร ลิเวอร์พูล ที่ได้รับคำชื่นชมมากมายจากเหล่าผู้จัดการทีม นักวิเคราะห์ และอดีตนักเตะชั้นนำทั่วโลก ด้วยความดุดันและครบเครื่องมากที่สุดเท่าที่นักเตะกองหลังควรจะมี ทำให้จากสถิติการลงเล่นตลอดฤดูกาล 2018/2019 ฟานไดค์มีสถิติการเคลียร์บอลอันตรายหน้ากรอบเขตโทษสูงถึง 5.3 ครั้งต่อเกม ชนะดวลกลางอากาศ 4.7 ครั้งต่อเกม จ่ายบอลยาวเฉลี่ยต่อเกม 5.7 ครั้ง และผ่านบอลสำเร็จคิดเป็นเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 89.6 เปอร์เซ็นต์ จึงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าตัวจะได้รับการขนานนามจากเหล่านักวิจารณ์และแฟนบอลจำนวนมากว่าเป็น ว่าที่กองหลังอันดับหนึ่งของโลก ในปัจจุบัน

เมื่อมหากาพย์ อาซาร์ มาดริด กลับมาอีกครั้ง

ภายหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่ทางสโมสร เรอัล มาดริด ประกาศการแต่งตั้ง ซีเนดีน ซีดาน กลับมานำทัพเหล่านักเตะราชัน ชุดขาว อีกครั้ง เริ่มมีกระแสที่สื่อสเปนหลายสำนักต่างรายงานตรงกันถึงเงื่อนไขที่ทาง ซีดาน ตั้งไว้กับฝ่ายบริหารว่า จะต้องเดินหน้าเซ็นสัญญานักเตะที่เขาต้องการอันดับหนึ่งมาโดยตลอดอย่าง เอแด็น อาซาร์ ให้ได้ จนกลายมาเป็นการจุดกระแสให้แฟนบอลพูดถึงข่าวการซื้อขายระหว่าง เรอัล มาดริด ที่ต้องการกระชาก อาซาร์ มาจากอ้อมอกสโมสร เชลซี หลังจากที่เป็นข่าวกันมาเนิ่นนานอีกครั้ง

นอกจากนี้ยังถูกสุมไฟให้กระแสข่าวมีความร้อนแรงยิ่งขึ้นจากประโยคที่ดาวเตะเชลซีให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงคำถามที่ว่า ถ้าให้เลือกระหว่าง โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือทีมชาติเบลเยียม หรือ ซีดาน คุณอยากได้ใครเป็นผู้จัดการทีมมากกว่ากัน โดย อาซาร์ ได้กล่าวว่า “ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ เราไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้ แต่ผมนับถือซีดานเป็นพิเศษ เขาเป็นต้นแบบของผม และทำให้ผมเริ่มหันมาเล่นฟุตบอล”

                โดยทางสื่อสำนักดังของทางสเปน ได้จัดการสำรวจแฟนบอลของ เรอัล มาดริด ว่า ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทางสโมสรซื้อใครเข้ามาเป็นรายแรกในตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์นี้ ผลปรากฏว่าแฟนบอลสโมสรกว่าครึ่งโหวตให้ เอแด็น อาซาร์ มาเป็นอันดับหนึ่งที่ต้องการได้มาร่วมทัพในช่วงตลาดซื้อขายรอบที่จะถึงนี้ โดยคะแนนออกมาแซงหน้า เนย์มาร์ ดาวเตะชาวบราซิลอย่างขาดลอย

                แล้วเหตุใด ซีเนดีน ซีดาน และเหล่าแฟนบอล เรอัล มาดริด ถึงต้องการตัวนักเตะรายนี้

                จากการรวบรวมสถิติตลอดการลงเล่นให้กับสโมสรเชลซีในฤดูกาล 2018/2019 จะพบว่า เอแด็น อาซาร์ มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูที่ทางสโมสรทำได้เฉลี่ยสูงถึง 0.9 ประตูต่อเกม สร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมเฉลี่ยต่อเกม 2.6 ครั้ง และมีสถิติการเลี้ยงผ่านคู่แข่งมากถึง 3.2 ครั้งต่อเกม ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ดาวเตะชาวเบลเยียมรายนี้เป็นส่วนสำคัญในเกมรุกของทางสโมสร เชลซี อย่างมาก

                ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับเหล่าแนวรุกปัจจุบันที่อยู่กับสโมสร เรอัล มาดริด มาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็น แกเร็ธ เบล หรือ คาริม เบนเซม่า ก็ไม่มีใครที่มีสถิติการมีส่วนร่วมในเกมรุกได้มากเท่ากับ อาซาร์ โดย แกเร็ธ เบล และ คาริม เบนเซม่า นั้น มีสถิติการมีส่วนรวมกับประตูต่อเกมอยู่ที่ 0.5 และ 0.6 ตามลำดับ ขณะที่สถิติด้านการสร้างสรรค์โอกาส มีสถิติต่อเกมอยู่ที่ 0.7 ครั้ง และ 1.5 ครั้งตามลำดับ และสามารถเลี้ยงผ่านคู่แข่งต่อเกมได้เพียง 0.8 และ 1.1 ครั้งตามลำดับเท่านั้น

                ก็ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมผู้จัดการทีมและเหล่าสาวกของสโมสร เรอัล มาดริด ถึงอยากที่จะให้สโมสรคว้าตัว อาซาร์ มาร่วมทีม เพราะภายหลังการสูญเสียสุดยอดผู้เล่นในแนวรุกอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปให้กับทาง ยูเวนตุส สโมสรก็ไม่สามารถหาคนที่มาทดแทนประสิทธิภาพในเกมรุกที่ขาดหายไปได้อีกเลย ดังนั้น เอแด็น อาซาร์ จึงเปรียบเสมือนแสงสว่างที่จะเข้ามานำพาสโมสร กลับไปครองความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

รอยจารึกที่ไม่มีวันสูญสลายของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

“เวลาเกิดอะไรขึ้น ผู้คนมักจะพูดว่า ถ้า เฟอร์กูสัน ยังอยู่จะไม่มีทางทำอะไรแบบนั้น หาก เฟอร์กูสัน ยังไม่วางมือจะตัดสินใจอย่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุก ๆ สิ่งจะต้องถูกนำไปเปรียบเทียบกับช่วงเวลาของ เฟอร์กูสัน” นี่คือคำกล่าวของอดีตกองหน้าของสโมสร ที่ปัจจุบันย้ายไปค้าแข้งอยู่ที่ประเทศอเมริกาในศึกเมเจอร์ ลีก อย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

                ถามว่าสิ่งที่ ซลาตัน กล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่ ก็ต้องเรียนตามตรงว่าเป็นความจริง เพราะเหล่าแฟนบอลจำนวนมากของสโมสรรวมถึงอดีตนักเตะระดับตำนาน ต่างมักจะยกวิธีการจัดการหรือการตัดสินใจของ เฟอร์กูสัน เป็นตัววัดความถูกต้องในการตัดสินใจทำอะไรหลาย ๆ อย่างของสโมสรในปัจจุบัน เพราะต้องไม่ลืมว่าช่วงเวลาของความสำเร็จที่ตำนานกุนซือ
อย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้สร้างไว้อย่างยาวนั้น ได้จารึกเกิดเป็นจิตวิญญาณของยูไนเต็ดไปแล้ว

                ทีนี้ ถ้าต้องการให้เหล่าแฟนบอล สื่อ หรือนักวิจารณ์ ก้าวข้ามเรื่องนี้ไปจะต้องทำอย่างไร

                อย่างแรกเลยคือ จะต้องมีผู้จัดการทีมที่มาสร้างความสำเร็จให้กับสโมสร และจะต้องอยู่กับสโมสรเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร ดังเช่นที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้นำ ยูไนเต็ด ก้าวข้ามความสำเร็จที่ทางอดีตกุนซือระดับตำนานอย่าง เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ ได้เคยสร้างไว้ให้กับสโมสร

                นอกจากความสำเร็จ และช่วงเวลาที่จะอยู่กับทีมนั้น สิ่งที่ต้องทำอีกอย่างคือ ความสม่ำเสมอ

                ตลอดระยะเวลาที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้เข้ามาคุมทีม ถ้าไม่นับช่วงแรก ๆ กับทางสโมสรที่ต้องวางรากฐานให้กับทีมในระยะยาว ยูไนเต็ด เป็นเพียงไม่กี่สโมสรที่สามารถกล่าวได้ว่า มีความสำเร็จที่สม่ำเสมอมากที่สุด โดยแทบไม่มีฤดูกาลไหนเลยที่จะไม่ประสบความสำเร็จ หรือถึงแม้ในฤดูกาลนั้นจะไม่ได้แชมป์ ก็มักจะใช้เวลาปรับแก้ไขทีมเพียงไม่นานในการกลับขึ้นมากวาดสำเร็จอยู่เสมอ

ลีกคัพ 4 สมัย เอฟเอคัพ 5 สมัย แชมป์ระดับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย และแชมป์ลีกในประเทศ 13 สมัย คือสิ่งที่การันตีการนำพาสโมสรประสบความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยรวมการคว้าแชมป์ไปทั้งสิ้น 24 รายการตลอดการคุมทีม 26 ปี และได้พาสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นมาเป็นสโมสรชั้นนำของยุโรป

จากเงื่อนไขที่ว่ามา แค่เพียงเงื่อนไขแรกที่จะต้องพาทีมพุ่งชนความสำเร็จ และอยู่กับทีมในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรก็ยากแล้ว เพราะในยุคทุนนิยมแบบนี้ ต่อให้คุณพาทีมคว้าแชมป์ลีก หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ ก็ยังไม่สามารถ
การันตีเก้าอี้ผู้จัดการทีมว่าจะมั่นคงแค่ไหน อย่างที่ได้พบเห็นมาแล้วกับ เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือผู้สร้างตำนานให้กับสโมสร
 เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ภายหลังพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำได้ กลับเกิดสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดยิ่งกว่า เมื่อโดนปลดจากการเป็นผู้จัดการทีมในฤดูกาลต่อมาจากผลงานที่ย่ำแย่

ดังนั้นก็ต้องหันกลับมามองตามความเป็นจริงว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครมาลบรอยจารึกแห่งความสำเร็จที่
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ประทับไว้กับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และหวังได้แต่เพียงว่า สักวันหนึ่งจะมีคนที่ก้าวเข้ามาเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้เหล่าแฟนบอลได้ตื่นตาตื่นใจอีกครั้ง

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ชายผู้ปลุกจิตวิญญาณยูไนเต็ด

นับตั้งแต่ที่ทางสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประกาศปลด โชเซ่ มูรินโญ่ และประกาศแต่งตั้ง
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตตำนานกองหน้าของสโมสร เข้ามารับตำแหน่งการเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว บรรยากาศในสโมสรก็ได้แปรเปลี่ยนไป ผลงานดีขึ้นผิดหูผิดตา สไตล์การเล่น ความมุ่งมั่นทุ่มเท ล้วนแล้วแต่ทำให้เหล่าแฟนบอลตื่นตาตื่นใจ และมองว่า นี่คือการกลับมาของ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง

                จากบทสัมภาษณ์อันหลากหลาย ที่สื่อต่างตั้งคำถามกับทางนักเตะของสโมสรว่า โซลชา ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในสโมสร เหล่านักเตะต่างตอบไปในทำนองเดียวกันว่า โซลชา รู้ความหมายของสโมรสรแห่งนี้เป็นอย่างดี และเขาต้องการถ่ายทอดให้เหล่านักเตะได้เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ สิ่งแรกที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้บอกกับพวกเขาในวินาทีที่เข้ามาคุมทีม คือ “พวกคุณต้องแสดงให้เหล่าแฟนบอลเห็นว่า เราคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ”

                ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายดาวรุ่งของทีมได้กล่าวว่า “ผู้จัดการรู้ว่าจะเค้นความสามารถของเหล่านักเตะในทีมออกมาอย่างไร หากใครที่มีปัญหา หรือไม่สามารถเล่นได้ในระดับที่วางไว้ นักเตะสามารถที่จะเดินเข้าไปหาเขาได้ทันที เพื่อที่จะขอคำปรึกษา และหาข้อแก้ไขจุดบกพร่องอย่างตรงไปตรงมา”

                นอกจากการปรับแก้ไขปัญหาผลงานในสนามหรือภายในห้องแต่งตัวแล้ว อิทธิพลจากการที่ทางสโมสรแต่งตั้ง
โซลชา เข้ามารับตำแหน่ง ได้สร้างบรรยากาศที่ดีให้กับภายในสโมสร โดย มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“นับตั้งแต่ที่ โอเล่ ได้เข้ามา เกิดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างภายในสโมสรมากมาย ไม่ใช่แค่เหล่าพวกเรานักเตะเท่านั้น แม้กระทั่งพนักงานออฟฟิศที่อยู่กับพวกเรามาหลายปียังรู้สึกเลยว่า สโมสรมีบรรยากาศที่ดีขึ้น ผู้จัดการทีมได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเรา ว่าพวกเรายังสามารถพัฒนาศักยภาพไปได้อีกมาก และมันได้สร้างความมั่นใจให้กับพวกเราได้มากจริง ๆ ”

                ด้วยสไตล์การเล่นที่กลับไปเน้นเกมบุกสวนกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมั่นใจในศักยภาพของดาวรุ่งสโมสร อีกทั้งการให้สัมภาษณ์สื่อ ที่มักจะให้สัมภาษณ์ในเชิงบวกแล้วเก็บปัญหาที่มีไว้จัดการกันเองภายใน และปลูกฝังทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ให้แก่เหล่านักเตะ ทำให้บรรดาเหล่าตำนานรุ่นพี่ที่เคยสังกัดกับทางสโมสร ต่างยกย่องเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ โซลชา ทำ คือการนำเอาวิธีการบริหารทีมของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาปรับใช้ และปลุกจิตวิญญาณความเป็น ยูไนเต็ด กลับขึ้นมาอีกครั้ง

                เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่า ทำไม สื่อ นักวิจารณ์ และแฟนบอล ถึงมองว่า นับตั้งแต่ปี 2013 ที่ตำนานกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้วางมือไป นี่คือ ยูไนเต็ด ที่มีสไตล์การเล่น และบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับเมื่อครั้งอดีตมากที่สุด และเป็นเหตุผลที่ทำไม เหล่าแฟนบอลของสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างลงความเห็นว่าอยากให้
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างถาวรต่อไปในระยะยาว

เหล่าผู้กุมชะตา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย

ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นรายการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในระดับสโมสร แต่ละทีมต่างหมายมั่นปั้นมือที่จะคว้าแชมป์มาครองให้ได้ในท้ายที่สุด โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า เหล่านักเตะคนสำคัญของแต่ละทีมนั้น อาจเป็นจุดสำคัญต่อการชี้วัดถึงผลการแข่งขัน ที่จะพาทีมผ่านเข้าไปสู่รอบต่อไป

                แฮร์รี่ เคน หัวหอกตัวเก่งของทางสโมสร ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในกองหน้าที่มีความสามารถเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมีส่วนรวมในการทำประตูให้สโมสรเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 0.84 ประตู ถือเป็นหนึ่งในนักเตะคนสำคัญที่ทางสโมสรขาดไม่ได้ในเวลานี้

                เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังซึ่งถือเป็นแกนหลักที่พาสโมสร ลิเวอร์พูล ถือครองสถิติการเสียประตูน้อยที่สุด และมีสถิติการพาทีมเก็บคลีนชีตได้มากที่สุดในลีกอังกฤษ นอกเหนือจากนี้ ยังเป็นตัวเต็งที่ทางสื่อ นักวิจารณ์ รวมถึงแฟนบอลมองว่า มีสิทธิ์ที่จะได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษประจำฤดูกาล 2018/2019

                คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สุดยอดนักเตะที่การันตีความสามารถด้วยรางวัล บัลลง ดอร์ 5 สมัย ที่หลังพาสโมสร
เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปครองสามสมัยซ้อน ได้ย้ายทีมไปอยู่กับสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลี อย่าง
ยูเวนตุส และถึงแม้อายุจะเข้าสู่วัย 34 ปีแล้ว แต่ความร้อนแรงก็ไม่ได้ลดลงเลย โดยมีส่วนร่วมกับประตูของทางสโมสร
สูงถึง 1.1 ประตูต่อเกม

                ฮาคิม ซีเยค ดาวเตะของทางสโมสร อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ผู้เป็นฟันเฟืองสำคัญในเกมรุกให้กับสโมสร และมีส่วนอย่างมากในการพาทีมพลิกชนะ เรอัล มาดริด ผ่านเข้ารอบมาได้ โดยมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูเฉลี่ยถึง 1.1 ประตูต่อเกม และจ่ายลูกสร้างสรรค์โอกาสโดยเฉลี่ยต่อเกมสูงถึง 3.8 ครั้ง

                ปอล ป็อกบา กองกลางคนสำคัญที่ของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ภายหลังการแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดของยุโรป โดยถึงแม้จะเล่นเป็นกองกลาง แต่กลับมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูสูงถึง 0.7 ประตูต่อเกม

                ลิโอเนล เมสซี่ ดาวยิงพรสวรรค์ระดับต่างดาว ที่การันตีความสามารถด้วยรางวัล บัลลง ดอร์ 5 สมัย และถือหนึ่งใน
นักเตะที่ฟอร์มร้อนแรงมากที่สุดในฤดูกาล โดยในฤดูกาลนี้ เมสซี่ มีสถิติในการมีส่วนร่วมกับประตูที่ทางสโมสร บาร์เซโลน่า ทำได้สูงถึง 1.57 ประตูต่อเกม เลี้ยงผ่านคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 3.8 ครั้ง และสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนสูงถึง 3.1 ครั้งต่อเกม

                เซร์คิโอ อเกวโร่ สุดยอดหัวหอกของทางสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผู้กวาดความสำเร็จมาแล้วมากมายให้กับสโมสร และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทาง ซิตี้ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในทีมเต็งที่จะได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก โดยฤดูกาลนี้มีส่วนร่วมกับประตูที่สโมสรทำได้เฉลี่ย 1 ประตูต่อเกมเลยทีเดียว

                เอแดร์ มิลิเตา ปราการหลังวัย 21 ปีของสโมสร ปอร์โต้ ที่ปัจจุบันทางสโมสร เรอัล มาดริด ได้เซ็นสัญญาล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อย โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การเคลียร์บอลอันตรายสูงถึง 3.1 ครั้งต่อเกม แย่งบอลจากคู่แข่ง 2.3 ครั้งต่อเกม และดวลชนะลูกกลางอากาศต่อเกมเฉลี่ยสูงถึง 4 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่า นี่คือหนึ่งในกองหลังดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดรายหนึ่งของวงการฟุตบอล

                ไม่รู้ว่าผลสุดท้าย ทีมไหนจะคว้าชัยชนะและได้ผ่านเข้าไปสู่รอบต่อไป พร้อมทั้งคว้าแชมป์ได้ในท้ายที่สุด แต่เชื่อได้เลยว่า เหล่านักเตะที่ได้กล่าวมานี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะส่งผลต่อเกมการแข่งขันศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ครั้งนี้อย่างแน่นอน

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ผลงานแย่จริงหรอ ?

จากผลงานในฤดูกาล 2017/2018 เรียกได้ว่าโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ดาวยิงชาวอียิปต์เป็นส่วนสำคัญของทัพสโมสรหงส์แดง ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง โดยในฤดูกาล 2017/2018 ถือว่าเป็นหนึ่งในแนวรุกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก การันตีผลงานจากการเล่นจู่โจมและสวนกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยิงประตูให้สโมสรอย่างถล่มทลายจนคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของยุโรปมาครอง

                ด้วยแผนการเล่นที่ผู้จัดการทีมอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เข้ามาปลี่ยนแปลงสโมสร ลิเวอร์พูล ให้เน้นเกมรุก เข้า
เพรสซิ่งดุดัน และเข้าจู่โจมสวนกลับอย่างรวดเร็วด้วยปีกทั้งสองข้างมากขึ้น ทำให้ปีกที่มีความเร็วอยู่แล้วอย่าง
โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ สามารถรีดเร้นศักยภาพออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จนทำให้บรรดากองหลังฝ่ายตรงข้ามต้องผวาทุกครั้งเมื่อลูกบอลถูกส่งมาที่เขา

                ต่อมาเมื่อฤดูกาล 2018/2019 ได้เปิดฉากขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของแฟน ๆ ว่า ดาวเตะชาวอียิปต์รายนี้ จะยังคงประสิทธิภาพในการผลิตประตูให้กับสโมสรได้เหมือนดั่งที่ผ่านมา แต่พอเวลาล่วงเลยไป กลับพบว่าสิ่งที่คาดหวังเริ่มสวนทางกับความเป็นจริง เมื่อผลงานด้อยลงจนทำให้สื่อหลาย ๆ สำนักรวมถึงเหล่าแฟนบอลตั้งคำถามว่า แล้วโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ที่เคยเป็นเครื่องจักรถล่มประตูหายไปไหน

                จากสถิติของฤดูกาลนี้ เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว ต้องยอมรับว่าจำนวนการมีส่วนร่วมกับประตูที่ทำได้ของสโมสร ลดลงไปอย่างน่าใจหาย เมื่อในฤดูกาล 2017/2018 ซาล่าห์ มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูของสโมสรทั้งสิ้น 1.2 ประตูต่อเกม เมื่อเทียบกับในฤดูกาลนี้พบว่า สถิติในการมีส่วนร่วมกับประตูลดลงเหลือเพียง 0.6 ประตู ต่อเกมเท่านั้น

                แต่ถ้าเรามองในอีกมุม เจาะลึกถึงข้อมูลทางสถิติลงไปมากกว่านั้น ในฤดูกาลที่แล้ว ซาล่าห์ มีสถิติในการจ่ายลูกสำคัญต่อเกมอยู่ที่ 1.7 ครั้ง เลี้ยงผ่านคู่แข่ง 2.2 ครั้ง และมีโอกาสยิง 4 ครั้งต่อเกม เมื่อนำมาเทียบกับในฤดูกาลนี้จะพบว่า
โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ มีสถิติในการจ่ายลูกสำคัญต่อเกมอยู่ที่ 1.8 ครั้ง เลี้ยงผ่านคู่แข่ง 2.1 ครั้ง และมีโอกาสยิง 3.5 ครั้งต่อเกม ซึ่งก็ถือได้ว่าในแง่ศักยภาพการเล่นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม แล้วอะไรที่ทำให้ประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมกับประตูของเจ้าตัวลดลง

                คำตอบที่ง่ายที่สุดสำหรับเรื่องนี้ คือ เพราะทีมคู่ต่อสู้เริ่มเกิดความชิน

                ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่บรรดาผู้เล่นที่ฟอร์มร้อนแรงกับสโมสรในฤดูกาลแรก กลับฟอร์มตกลงไปอย่างใจหายในฤดูกาลต่อมา เพราะเมื่อบรรดาทีมฝ่ายตรงข้ามเริ่มเกิดความคุ้นชิน บวกกับมีเวลาได้แก้ไข เตรียมตัวที่จะมารับมือมากขึ้น ก็ย่อมส่งผลต่อความยากลำบากมากขึ้นในการเล่น ดังจะเห็นได้จากบรรดาผู้เล่นในอดีตมากมายที่เคยเผชิญกับปัญหานี้กันมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ดีเอโก้ คอสต้า อดีตศูนย์หน้า เชลซี ที่ในฤดูกาลแรกจัดการซัดไปถึง 20 ประตู จากการลงเป็นตัวจริง 24 เกม แต่ในฤดูกาลต่อมากลับยิงประตูได้เพียง 12 ประตู จากการลงเป็นตัวจริง 27 เกม เท่านั้น

                จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าทาง ซาล่าห์ ไม่ได้มีศักยภาพในการเป็นนักเตะที่แย่ลง หรือฝีเท้าที่ผ่านมาไม่ใช่ของจริงแต่อย่างใด ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นในวงการฟุตบอลให้แฟนบอลได้เห็นกันแทบทุกปี และถ้าว่ากันตามจริง หากผลงานการทำประตูที่ติดอันดับต้น ๆ ของลีกในเวลานี้ยังไม่ดีพอ คงต้องย้อนกลับมาถามว่า แล้วในปัจจุบัน จะมีนักเตะซักกี่รายที่มีความสามารถเหนือกว่าชายคนนี้ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์

เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ตัวเต็งรางวัลแข้งยอดเยี่ยมพีเอฟเอ 2018/2019

นับจากวันที่มีข่าวว่าทางสโมสร ลิเวอร์พูล ที่นำทัพโดย เจอร์เก้น คล็อปป์ ดึงดันในการติดต่อขอเจรจาซื้อตัว
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังชาวเนเธอร์แลนด์ให้ได้โดยที่ไม่มีเป้าหมายสำรอง จนเป็นเหตุให้ถึงกับต้องทุ่มเงินเป็นมูลค่าสูงถึง 75 ล้านปอนด์ และสร้างความสงสัยให้กับเหล่าแฟนบอลถึงเหตุผลในการซื้อตัวดาวเตะรายนี้

                แต่ใช้เวลาเพียงไม่นาน เหล่าแฟนบอลทั้งหลายทั่วโลกต่างได้พบคำตอบว่า ทำไมสโมสร ลิเวอร์พูล ถึงต้องทุ่มเงินมากมายมหาศาลถึงขนาดนี้ให้กับนักเตะตำแหน่งกองหลังเพียงรายเดียว

จากผลงานอันยอดเยี่ยมตลอดการค้าแข้งตั้งแต่ย้ายเข้ามาร่วมกับสโมสรอย่าง ลิเวอร์พูล ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงฤดูกาลนี้ ทำให้เหล่านักวิจารณ์ สื่อมวลชน และบริษัทรับพนันถูกกฎหมายของทางอังกฤษ ต่างยกให้ปราการหลังเจ้าของสถิติโลก เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018/2019

                เหตุใด เขาจึงได้รับการยกย่องมากขนาดนี้ ?

                ส่วนหนึ่งคงหนีไม่พ้นเหตุผลที่ว่า เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญมากของทีม ลิเวอร์พูล ในการเข้ามาปรับปรุงแก้ไข ขันเกมรับให้แน่น เพื่อให้เพื่อนร่วมทีมสามารถทำเกมรุกได้โดยไม่ต้องมาคอยกังวลเวลาโดนการสวนกลับของทีมคู่แข่ง พร้อมทั้งยังยกระดับทีมให้สามารถขึ้นมาต่อกรกับแชมป์เก่าอย่างสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อท้าชิงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีก

                นอกจากรูปแบบการเล่นที่มีความครบเครื่องในด้านความเร็ว การเล่นลูกกลางอากาศ ความนิ่ง และการยืนตำแหน่ง
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ยังถือเป็นกองหลังที่สามารถจ่ายบอลจากแดนหลังได้อย่างแม่นยำ และคอยสนับสนุนคู่หูในแนวรับของตัวเองได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่ามีความสามารถแทบทุกอย่างที่กองหลังควรจะมีอยู่ในตัวเขาเพียงผู้เดียว

                จากสถิติต่อเกมจะพบว่า ฟาน ไดค์ ชนะการดวลกลางอากาศเฉลี่ยถึง 4.7 ครั้ง และมีสถิติการจ่ายบอลยาวจากแดนหลังสูงถึง 5.7 ครั้งต่อเกม ยิ่งไปกว่านั้น จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของปราการหลังชาวดัตช์รายนี้คือ การเคลียร์บอลอันตรายที่อาจก่อให้เกิดปัญหาภายหลัง โดยพบว่ามีสถิติการเคลียร์บอลอันตรายสูงถึง 5.3 ครั้งต่อเกม และทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้น อยู่ภายใต้เงื่อนไขการทำฟาวล์ที่เจ้าตัวทำไปเพียง 0.4 ครั้งต่อเกมเท่านั้น

                เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของ ลิเวอร์พูล ได้เคยกล่าวถึงความยอดเยี่ยมของลูกทีมรายนี้ว่า “เขาอายุยังไม่มาก แต่กลับมีวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ สมรรถภาพร่างกายและความแข็งแรงทุกอย่างดีเยี่ยม คุณสามารถถ่ายทอดเรื่องราวเป็นหนังสือ เพื่อบรรยายถึงความสามารถของเขา ทักษะและความแข็งแกร่งที่เขามี รวมถึงเรื่องที่เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแค่ไหนได้ไม่รู้จบ”

                ทำให้ไม่น่าแปลกใจ ที่จากผลโหวตโดยแฟนบอลกว่า 18,000 คน โหวตให้ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ สมควรที่จะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018/2019 สูงถึง 81% รวมถึงสื่อมวลชน และนักวิเคราะห์ต่างให้ความเห็นว่า นี่คือตัวเต็งอันดับหนึ่งอย่างไม่มีข้อกังขาแน่นอน

จับตามอง เหล่าเด็กนรกสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดในปี 2000

คลื่นลูกเก่าถูกพัดพาไป คลื่นลูกใหม่ก็ต้องเกิดขึ้น เมื่อนักเตะที่เราคุ้นเคยต่างค่อย ๆ โรยรา ทยอยกันยุติอาชีพการค้าแข้งหรือย้ายออกจากลีกใหญ่ของทางฝั่งยุโรป ก็ต้องมีนักเตะหน้าใหม่เกิดขึ้นมาในทุก ๆ ปี และนี่ก็ใกล้เข้ามาอีกขั้น สำหรับยุคสมัยใหม่ของเหล่านักฟุตบอลที่เกิดหลังปี 2000 ที่จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ปรับให้โลกฟุตบอลมีความทันสมัยมากขึ้น

                แล้วดาวรุ่งคนไหนที่เราควรจับตามองเป็นพิเศษ ?

                จาดอน ซานโช่ ดาวรุ่งชาวอังกฤษ ผู้กล้าก้าวข้ามกรอบความคิดเดิม ๆ ของเหล่าดาวรุ่งส่วนใหญ่ในอังกฤษ ที่มักจะเลือกอยู่กับสโมสรภายในประเทศ โดยอำลาสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปพิสูจน์ตัวเองกับสโมสรใหญ่ที่อยู่ในลีกสูงสุดของเยอรมันอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของทาง ดอร์ทมุนด์ ทันที โดยหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ได้สร้างชื่อใน ศึกดาร์บี้แมตช์ ที่พบกับสโมสร ชาลเก้ 04 เมื่อซัดไป 2 ประตู 2 แอสซิสต์ พร้อมทั้งทำลายสถิตินักฟุตบอลชาวอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน

                วินิซิอุส จูเนียร์ ดาวรุ่งพุ่งแรงดวงใหม่ที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดแห่งวงการฟุตบอลบราซิล และเป็นความหวังใหม่ของทางสโมสร เรอัล มาดริด ภายหลังการเสีย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ด้วยผลงานการเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยม ควบตำแหน่ง
ดาวซัลโวของทีมชาติบราซิลในรายการชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้ ชุดยู -17 ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ทางเรอัล มาดริด ทุ่มเงินฉีกสัญญามูลค่า 45 ล้านยูโร เซ็นสัญญาล่วงหน้ากับสโมสรต้นสังกัดอย่าง ฟลาเมงโก้ ตั้งแต่วัยเพียง 16 ปี และปัจจุบันถือเป็นแกนหลักสำคัญในการสร้างทีมยุคใหม่ของ ราชันชุดขาว เรอัลมาดริด

                คัลลั่ม ฮัดสันโอดอย แนวรุกตัวหลักของทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ยู-17 และปีกดาวรุ่งที่สามารถทะลุขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรอย่าง สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ด้วยความสามารถที่เหลือล้น ทำให้ทางสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ถึงกับแสดงความสนใจติดต่อขอซื้อด้วยมูลค่า 20 ล้านปอนด์ แต่ทางสโมสรเชลซีได้ปฏิเสธไปเพราะต้องการเก็บไว้ใช้เป็นกำลังสำคัญในอนาคต นอกจากนี้ แฟนบอล เชลซี ถึงกับร้องเพลงพร้อมชูเสื้อให้กับเจ้าตัว เพื่อแสดงความรักที่มีต่อดาวรุ่งรายนี้

                และนอกเหนือจากที่กล่าวมา ยังมีดาวรุ่งอีกมากมายที่ถูกพูดถึงอย่าง อังเคล โกเมส และเจมส์ การ์เนอร์ ดาวรุ่งแห่งฝั่งสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไรอัน เซสเซยง จากสโมสรฟูแล่ม ฟิล โฟเด้น จากสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือจะเป็นฝั่งเยอรมันที่ทาง บาเยิร์น มิวนิค พึ่งประกาศคว้าตัวกองหน้าดาวรุ่งที่ถือเป็นความหวังใหม่ของชาวเยอรมันอย่าง
ยานน์-ฟีเต้ อาร์ป นี่จึงถือเป็นสัญญาณการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยใหม่ และเชื่อว่าในเวลาอีกไม่นาน จะมีเหล่านักเตะรุ่นใหม่อีกมากมาย ที่พร้อมก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดในเวทีระดับโลก และมาเป็นฟันเฟื่องสำคัญในการขับเคลื่อนโลกฟุตบอลในอนาคต

เมื่อเหล่ากูรูฝีปากกล้า ก้าวเข้ามาเป็นกุนซือ

แน่นอนว่าในยุคที่กีฬาฟุตบอลรุ่งเรือง แฟนบอลสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจในโลกฟุตบอลได้อย่างรวดเร็ว อีกอาชีพหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แฟนบอลร่วมวิเคราะห์ถึงแผนการเล่นในแต่ละเกมนั้น คงหนีไม่พ้นอาชีพอย่าง
นักวิจารณ์ฟุตบอล ซึ่งโดยมากล้วนแล้วแต่เป็นการนำเอาเหล่าอดีตตำนานนักเตะที่เคยสร้างชื่อ หรือแม้กระทั่งโค้ช ผู้จัดการทีม ที่ว่างงานอยู่ในขณะนั้น มาร่วมวิเคราะห์เจาะลึกถึง แผนการเล่น การแก้แผนทีมคู่แข่ง รวมทั้งมุมมองต่อปัญหา หรือวิธีแก้ปัญหาที่เหล่าทีมฟุตบอลต่าง ๆ ได้เจออยู่ในขณะนั้น

                ซึ่งหลาย ๆ ครั้ง มุมมองต่าง ๆ ที่เหล่า นักวิจารณ์ ได้ให้แง่คิดไว้ กลับกลายเป็นการสร้างกระแสในโลกฟุตบอลอย่างมากมายในภายหลัง แฟนบอลต่างนำเอาแนวคิดเหล่านี้ ไปใช้ในการอ้างอิงเวลาถกเถียงหรือพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนฝูง ในขณะที่สื่อก็มักจะหยิบยกประเด็นที่เหล่านักวิจารณ์ได้พูดไว้ นำไปผลิตข่าวออกมาอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน

                ต้องยอมรับว่า เมื่อมีกลุ่มแฟนบอลที่เห็นด้วย ก็ต้องมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยตามมา อีกทั้งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดเห็นของเหล่านักวิจารณ์ ได้กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาให้แก่ผู้จัดการทีมหรือผู้บริหารของทีมในขณะนั้น ให้ต้องทำงานกันอย่างยากลำบากยิ่งขึ้น

                แต่ในมุมที่ต้องลงมาทำงานจริง ๆ นั้นไม่เคยง่าย เมื่อพบตัวอย่างเหล่านักวิจารณ์ทั้งหลาย ที่ขอลาไมค์และลองมาเชยชมกับการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมฟุตบอล ที่สุดท้ายประสบความล้มเหลว จนต้องรีบกลับไปทำงานเดิมที่ตนเองถนัดอย่างรวดเร็ว

                แกรี่ เนวิลล์ ตำนานปราการหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ภายหลังการจบอาชีพการค้าแข้ง ได้รับเสียงชื่นชมจากเหล่าแฟนบอลมากมายในแง่ของการวิจารณ์ได้อย่างตรงประเด็น จนมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการนักวิจารณ์ฟุตบอล เมื่อสั่งสมบารมีในการวิเคราะห์การเล่นในแต่ละทีมจนช่ำชองแล้ว จึงได้ขอทดลองงานการเป็นผู้จัดการทีม โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมของสโมสร บาเลนเซีย ที่เล่นในลีกสูงสุดของสเปน แต่ผลงานกลับไม่เป็นดั่งใจหวัง เมื่อทำให้สโมสรต้องตกลงไปอยู่ในโซนตกชั้น จากผลงานที่คุมทีมทั้งหมด 28 เกม พาทีมชนะได้เพียง 10 เกม เสมอ 7 และแพ้ไปทั้งสิ้น 11 เกม

                พอล สโคลส์ อดีตกองกลางตำนานสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นอีกคนที่ต้องพบกับความล้มเหลวเมื่อหันมาเป็นผู้จัดการทีมอย่างสิ้นเชิง ภายหลังพาสโมสร โอลด์แฮม ชนะเพียง 1 เกม จาก 7 เกมที่ตัวเองได้คุมทีม และอีก 6 เกมที่เหลือเป็นการเสมอและแพ้อย่างละ 3 เกม

                เธียร์รี่ อองรี อดีตศูนย์หน้าระดับตำนานของทีมปืนใหญ่ อาร์เซนอล ที่ได้กลับไปคุมทีมเก่าของตัวเองสมัยเป็นดาวรุ่งอย่าง โมนาโก ก็เผชิญกับความล้มเหลวไม่ต่างกัน เมื่อพาทีมเก็บชัยชนะได้เพียงแค่ 5 เกมตลอด 20 เกมที่เจ้าตัวมีโอกาสได้คุม

                จะเห็นว่า สุดท้ายการเป็นนักวิจารณ์ ย่อมง่ายกว่าการเป็นคนที่ลงไปทำงานเสมอ ดังคำกล่าวที่ โชเซ่ มูรินโญ่ สุดยอดกุนซือคนหนึ่งของโลกเคยกล่าวไว้ว่า “ผมอยากให้เหล่านักวิจารณ์ได้ลองมานั่งข้างสนามในฐานะผู้จัดการทีมดู เพราะการดูบอลทางโทรทัศน์แล้ววิจารณ์ผลงาน มันง่ายกว่าการเป็นผู้จัดการทีมเยอะ”