Author Archives: James H. Tomaszewski

พ่อค้าแข้งขาโหดที่ได้ชื่อว่าฮาร์ดแมน ผู้แข็งแกร่งทั้งหัวใจและพละกำลัง

แน่นอนเหลือเกินว่าฝีเท้าความเก่งกาจของนักฟุตบอลระดับโลกควรค่าให้แฟนบอลได้จดจำไม่ลืมเลือน แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่แฟนบอลมักจะจดจำนักฟุตบอลคนหนึ่งได้ไม่ต่างจากฝีเท้านั่นก็คือลักษณะนิสัยส่วนตัวที่นักเตะแสดงออกขณะอยู่ในสนามอันเป็นเหมือนลายเซ็นเฉพาะตัว บุคลิกที่ว่านี้กับนักเตะบางคนอาจเป็นสไตล์สุภาพบุรุษ บางรายเคร่งขรึม บางรายสนุกสนาน แต่กับบางรายอาจชวนให้เสียวสันหลังนิด ๆ ด้วยความดุดัน เกรี้ยวกราด และดูจะเป็นคนอารมณ์ร้อนพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ ดังที่รู้จักกันว่าเป็นนักเตะสไตล์ฮาร์ดแมน

ใครจะลืมลง…เหล่าตำนานฮาร์ดแมนผู้สร้างความแตกต่างบนสนามหญ้า

นักเตะพันธุ์โหดมักเรียกเสียงฮือฮาจากพฤติกรรมการเล่นบอลที่ถึงลูกถึงคน จนหลายเหตุการณ์ก็ทำให้เป็นร่องรอยที่ถูกบันทึกให้ต้องจดจำกันเรื่อยมา สนามหญ้าที่ใช้เล่นฟุตบอลดูระอุขึ้นด้วยอารมณ์ของนักเตะพันธุ์ฮาร์ดแมนที่มักเป็นผู้จุดชนวนให้คู่แข่งต้องเล่นบทโหดตามเนื้อเรื่อง จนหลายครั้งหลายคราวก็พาไปสู่ใบแดงไม่ฝั่งใดก็ฝั่งหนึ่ง แต่ก็ถือเป็นสีสันให้น่าจดจำอยู่เสมอเพราะแน่นอนว่าเกมใดที่อารมณ์ร่วมของทั้งนักเตะและกองเชียร์มีสูงมากเท่าไรย่อมทำให้นักเตะมุ่งมั่นเอาชนะและแสดงออกด้วยพฤติกรรมที่สุดโต่งพร้อมแลกพร้อมลุย รูปเกมจึงดูสนุก ตื่นเต้นเร้าใจมากกว่าเกมทั่วไปเป็นไหน ๆ

คราวนี้ลองไปส่องรายชื่อนักฟุตบอลสไตล์ฮาร์ดแมนระดับตำนานที่มีฝีเท้าจัดจ้านปนอุปนิสัยบ้าระห่ำจนแฟนบอลไม่อาจลืม

                1. รอย คีน ตำนานกองกลางของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นฮาร์ดแมนตัวพ่อที่ต้องนึกชื่อขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ คีนจัดว่าเป็นกองกลางที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งโดดเด่นทั้งเกมรุกและรับ แต่เชื่อเถอะว่าแฟนบอลมักจดจำภาพของคีนเวลาพุ่งเสียบแบบไม่มียั้ง หรือการพุ่งเข้าใส่คู่แข่งเป็นคนแรก ๆ เมื่อเกิดเหตุปะทะระหว่างเกม

                2. เจนนาโร กัตตูโซ ผู้ได้สมยาว่าไอ้รถถัง กองกลางเชิงรับรายนี้ถือเป็นห้องเครื่องของยอดทีมแดนมักกะโรนีอย่างยาวนานเมื่อสมัยค้าแข้งให้กับเอซี มิลาน กัตตูโซมีลีลาการเล่นดุดันไม่กลัวใคร วิ่งเข้าใส่คู่แข่งเหมือนรถถังที่บุกตะลุยไปข้างหน้าสมฉายา ถึงกระนั้นเขาก็จัดว่าเป็นนักฟุตบอลที่ฉลาดเล่นคนหนึ่ง นั่นจึงทำให้แฟนบอลมิลานคิดถึงเขาอยู่เสมอตราบทุกวันนี้

                3. เปเป้ ปราการหลังชาวโปรตุเกส แม้อาจไม่ถึงขั้นตำนานของทีมเทียบชั้น 2 รายก่อนหน้า แต่เปเป้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากกับเรอัล มาดริด ด้วยความเฉียบขาดแม่นยำในการเข้าสกัดทำให้ช่วงพีคเขาเป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลกในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ เพียงแต่ความอารมณ์ร้อนของเจ้าตัวก็มักสร้างวีรกรรมโหด ๆ ในสนามให้จดจำกันอยู่บ่อยครั้ง

ฟันเฟืองสำคัญที่ผลักดันทีมสู่ความสำเร็จ ต้องยกให้ชายที่มุ่นมั่นเกินร้อย

นักฟุตบอลฮาร์ดแมนยังมีอีกมากมายหลายตำแหน่ง เช่น โอลิเวอร์ คาห์น ตำนานผู้รักษาประตูของบาเยิร์นมิวนิคและทีมชาติเยอรมนี หรือสลาตัน อิบราฮิมโมวิซ กองหน้าฟ้าประทานก็จัดอยู่ในนักเตะที่พร้อมลุยเพื่อทีมแบบไม่มีกลัวไม่มีกั๊กจะใครหน้าไหนพี่แกพร้อมบวกแม้กระทั่งทีมเดียวกันเองก็ไม่เว้น เอาเป็นว่าเจอพวกพี่แกในสนามก็ต้องมีร้อน ๆ หนาว ๆ กันบ้าง

ด้วยอุปนิสัยดังว่าแม้อาจดูน่ากลัว สุ่มเสี่ยงต่อความเสียเปรียบตัวผู้เล่นหากมีใบแดง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสไตล์พวกเขาคือปัจจัยแห่งความสำเร็จของทีมที่ขาดไม่ได้ ทั้งพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความมุ่งมั่นเกินร้อยที่กระตุ้นเพื่อนร่วมทีมและกองเชียร์ให้ฮึกเหิมไม่ถอดใจ และการกดดันสร้างความหวาดหวั่นให้กับคู่แข่งที่ใจไม่ถึงพอก็อาจส่งผลให้โชว์ฟอร์มไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้านักเตะที่ได้ชื่อว่าฮาร์ดแมน

ตำนานที่แฟนบอลไม่มีวันลืม นักเตะผู้ควรค่าแก่การยกย่องเช่นวีรบุรุษ

รักเดียวใจเดียว คงเป็นวลีที่หอมหวานสำหรับคู่รักหนุ่มสาวที่อยากใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขไปจนแก่เฒ่า หากแต่ในโลกของฟุตบอลก็สามารถใช้วลีที่ว่านี้กับนักฟุตบอลบางคนได้อยู่เหมือนกัน ด้วยความรักและความทุ่มเทให้กับสโมสรตลอดอาชีพค้าแข้งของนักเตะคนหนึ่งที่ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเย้ายวนรอบด้านแต่มุ่งมั่นให้กับสโมสรเพียงแห่งเดียวและสามารถสร้างความรักความผูกพันให้กับแฟนบอลจนกลายเป็นตำนานของทีมที่มีคุณค่าต่อจิตใจมากกว่าถ้วยรางวัลใด

3 ตำนานนักฟุตบอลหัวใจเด็ดเดี่ยว ผู้ไม่ยอมหันหลังให้สโมสรเพื่อตัวเอง

นักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยมที่มีความจงรักภักดีต่อสโมสรนั้นถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่าและหายากในวงการฟุตบอล อย่างที่ทราบกันดีว่าช่วงอาชีพนักเตะมีเวลาไม่นานนัก เพียงอายุเข้าหลัก 30 ก็ถือเป็นช่วงโรยราที่ไม่มีเวลาให้เหลือตามหาความสำเร็จแล้ว ดังนั้นเมื่อมีโอกาสย้ายไปประสบความสำเร็จกับทีมที่มีความพร้อมมากกว่า อีกทั้งยังสามารถให้ค่าจ้างที่สูงกว่าบวกโบนัสอีกเพียบย่อมจูงใจให้พวกเขาหันหลังให้สโมสรที่รักได้เสมอ เพราะต่อให้มีความรักให้แก่สโมสรมากเพียงใดก็คงไม่มากเท่ากับการรักตัวเองไปได้ ซึ่งนั่นก็คงไม่ใช่ความผิดของบรรดานักเตะแต่อย่างใด

แม้การเลือกเส้นทางความสำเร็จให้กับอาชีพของตนเองจะไม่ใช่เรื่องผิด แต่เชื่อหรือไม่ว่ายังคงมีนักฟุตบอลบางคนที่เงินและความสำเร็จไม่สามารถซื้อพวกเขาได้ ด้วยเพราะหัวใจที่ยิ่งใหญ่อันเคารพรักสโมสรได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น และนี่คือ 3 สุดยอดนักเตะระดับตำนานที่รักเดียวใจเดียวตลอดอาชีพนักฟุตบอล

1. ฟรานเชสโก ต็อตติ ชื่อนี้ที่ไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ เขาคือสุดยอดกองกลางมากพรสวรรค์ของวงการฟุตบอลที่สามารถจะเลือกย้ายไปอยู่กับทีมใดก็ได้บนโลกนี้ แม้ว่าทีมโรม่าจะประสบปัญหาภายในสโมสรมากมายจนไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาประสบความสำเร็จได้ในเร็ววัน แต่ต็อตติก็ไม่เคยมีความคิดที่จะอำลาทีมไปเลย เขาจึงคู่ควรกับฉายาที่ถูกตั้งให้ว่า “เจ้าชายหมาป่า” อย่างที่สุด

2. สตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันทีมหงส์แดงลิเวอร์พูล จัดเป็นมิดฟิลด์พลังไดนาโมที่โดดเด่นทั้งเกมรุกและเกมรับ เขาคือหัวใจของทีมลิเวอร์พูลที่สามารถพาทีมพลิกนรกในค่ำคืนที่อิสตันบูลจนเถลิงแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ แต่สำหรับพรีเมียร์ลีกแม้ทีมจะทำได้ใกล้เคียงเพียงรองแชมป์แต่เจอร์ราร์ดก็ไม่สามารถทิ้งลิเวอร์พูลเพื่อไปประสบความสำเร็จเพียงคนเดียวได้ และการเลือกออกจากทีมไปค้าแข้งในอเมริกานั้นก็เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่คงไม่อาจนับเป็นการทิ้งสโมสร นั่นคือเขายังรักการเล่นฟุตบอลแต่ต้องเป็นสถานที่ซึ่งเขาจะไม่มีโอกาสเผชิญหน้ากับลิเวอร์พูล

3. แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ อาจไม่คุ้นหูแฟนบอลรุ่นใหม่ ๆ แต่หากย้อนไปถามแฟนบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษในยุค 90 ไม่มีใครไม่รู้จักพ่อมดลูกหนัง ฉายาที่แฟนบอลทีมเซาแธมป์ตันกล่าวยกย่องชายผู้นี้ซึ่งมีครบทั้งพรสวรรค์ ทักษะ จินตนาการ และด้วยฝีเท้าระดับเลอ ทิสซิเอร์ ควรจะได้ไปโลดแล่นอยู่กับทีมที่ยิ่งใหญ่เพื่อสร้างเกียรติประวัติในอาชีพนักฟุตบอลของเขา แต่เขาเลือกที่จะอยู่กับทีมนักบุญเพียงทีมเดียวเท่านั้นตลอดเส้นทางค้าแข้ง

ความสวยงามบนโลกลูกหนัง จิตวิญญาณที่ภักดีของนักฟุตบอล “วัน แมน คลับ”

นักฟุตบอลที่ไม่ย้ายสังกัดเลยตลอดเส้นทางอาชีพยังมีอีกหลายราย เช่น ไรอัน กิ๊กส์ กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือคาร์เลส ปูโยล ของบาร์เซโลนา หรือเปาโล มัลดินี ลูกหม้อของเอซี มิลาน เป็นต้น แต่ด้วยความพร้อมของสโมสรที่สามารถสร้างความสำเร็จได้อย่างมากมายให้เป็นเกียรติประวัติแก่พวกเขาได้อยู่แล้ว จึงทำให้เป็นความเหมือนที่แตกต่างกันกับตัวอย่างนักเตะทั้ง 3 ราย

บางครั้งในมุมมองของนักฟุตบอลที่จงรักภักดีกับสโมสรจนกลายเป็น “วัน แมน คลับ” ก็แสดงให้เห็นถึงความสวยงามบนโลกฟุตบอลที่อยู่เหนือกว่ามูลค่าของเงินตราและความสำเร็จ ทำให้ได้เห็นถึงจิตวิญญาณที่เข้มแข็งมุ่งมั่นทำเพื่อทีมอย่างแท้จริง ไม่แปลกใจที่บรรดาแฟนบอลจะเทิดทูนนักเตะประเภทนี้เยี่ยงวีรบุรุษ และแน่นอนว่าพวกเขาย่อมเคารพแฟนบอลดุจคนในครอบครัวเช่นเดียวกัน และบางทีความสุขที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างแฟนบอลและนักเตะนี่แหละที่เป็นเหมือนพลังงานที่ฉุดดึงนักเตะไว้ได้อย่างแท้จริง

ยูเวนตุส ทีมระดับท็อปคลาสที่พร้อมสร้างเกียรติประวัติด้วยการกวาดแชมป์

ยูเวนตุส สโมสรฟุตบอลที่มากด้วยหน้าประวัติศาสตร์บนโลกลูกหนัง ทีมที่ไม่เคยขาดสตาร์ดังและความสำเร็จ ด้วยสีชุดแข่งอันเป็นเอกลักษณ์ขาว-ดำ ไอ้ม้าลายจึงกลายเป็นฉายาที่คุ้นหูแฟนบอล การคว้าแชมป์กัลโซ เซเรียอามากถึง 35 สมัย ถือเป็นสถิติสูงสุดในอิตาลีที่ยากจะมีทีมใดทำลาย แถมพ่วงความสำเร็จระดับแชมป์ยุโรปมาแล้วทุกรายการ  และสิ่งที่น่าจับตามองคือการเสริมทีมของยูเวนตุสสำหรับฤดูกาล 2019/2020 ที่ดูลงตัวและมีนัยยะแห่งความกระหายความสำเร็จมากกว่าที่ผ่านมา

ความยิ่งใหญ่ของยูเวนตุสที่มากมายด้วยบรรดาสตาร์ดัง และความสำเร็จในทุกยุค

ด้วยเกียรติยศชื่อเสียงที่ได้ชื่อว่าเป็นสโมสรที่ดีที่สุดทีมหนึ่งนั้นทำให้บนเส้นทางความสำเร็จ ยูเวนตุสไม่เคยขาดนักฟุตบอลดาวดังประดับทีมเลย ไม่ว่าจะเป็นมิเชล พลาตินี, ดิโน ซอฟฟ์, โรแบร์โต บาจโจ, ซีเนอดีน ซีดาน, จิอันลุยจิ บุฟฟอน หรือแม้กระทั่งคริสเตียโน โรนัลโด หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในปัจจุบันที่ทีมม้าลายดึงเขามาร่วมทัพเมื่อฤดูกาลก่อน การมีผู้เล่นระดับโลกอยู่ในทีมย่อมสร้างความแตกต่างและเพิ่มโอกาสให้ทีมประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น และเป้าหมายเดียวของทีมระดับท็อปคลาสอย่างยูเวนตุสก็คือแชมป์เท่านั้น

ยูเวนตุสชุดปัจจุบันอาจมีการเปลี่ยนแปลงนักเตะทั้งย้ายเข้าและย้ายออกเป็นเรื่องปกติทุกฤดูกาล แต่สมดุลในทีมกลับไม่เสียหายเลย ดังที่เห็นเป็นรูปธรรมด้วยการกวาดแชมป์เซเรียอามากอดไว้ถึง 8 สมัยซ้อน หากแต่ในฤดูกาล 2019/2020 ยูเวนตุสกลับเสริมทีมด้วยนักเตะระดับท็อปมากมายหลายรายไม่ว่าจะเป็นมัจไธส์ เดอ ลิกต์, อารอน แรมซีย์, อาเดรียง ราบิโอต์ และการคว้าเมาริซิโอ ซาร์รี ยอดกุนซือมากุมบังเหียน ซึ่งแน่นอนว่าหากผนึกกำลังกับนักเตะเดิมอย่างคริสเตียโน โรนัลโด, จอร์โจ คิเอลลินี, ซามี เคดิรา, แบลตต์ มาตุยดี, เปาโล ดิบาลา ดั๊กลาส คอสตา ได้อย่างลงตัวแล้วละก็ ทีมม้าลายทีมนี้คงวิ่งฉิวเข้าวินได้แทบทุกรายการ

ยูเวนตุส 2019/2020 ตั้งเป้าไว้ที่อะไร ในเมื่อได้แชมป์เซเรียอาจนเบื่อ

ตลอด 8 ฤดูกาลที่ผ่านมานับแต่ฤดูกาล 2011/2012 ไม่มีทีมใดในอิตาลีเบียดยูเวนตุสแย่งแชมป์เซเรียอาไปครองได้เลยก็จริง แต่ในเวทีระดับนานาชาติคงต้องย้อนความสำเร็จไปไกลเมื่อฤดูกาล 1995/1996 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ยูเวนตุสได้ชูถ้วยบิ๊กเอียร์ เพราะหลังจากนั้นพวกเขาทำได้เพียงเข้าชิงและเป็นพระรองถึง 5 ครั้ง การเป็นสุดยอดในอิตาลีจึงเป็นเหมือนของตายที่อาจทำให้ทีมขาดความท้าทาย การตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และท้าทายกว่าอย่างยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกจึงน่าจะสร้างแรงกระตุ้นให้กับนักเตะ และแฟนบอลได้มากขึ้น เพื่อทวงความยิ่งใหญ่ระดับยุโรปที่รอคอยมากว่า 24 ปี

สัญญาณที่บ่งบอกว่ายูเวนตุสเอาจริงแน่ในถ้วยใหญ่ยุโรปถือเป็นงานหนักสำหรับทุกทีมที่จะต้องโคจรมาเจอยอดทีมจากเมืองตูริน แต่ก็ถือว่าไม่ใช่งานง่ายของยูเวนตุสเช่นกัน เพราะทุกทีมต่างมีศักยภาพไม่ย่อหย่อน อีกทั้งฟุตบอลถ้วยที่มีเกมเหย้า-เกมเยือนให้ตัดสินกัน 2  นัดก็มักเกิดปาฏิหาริย์ได้อยู่เสมอ ตัวอย่างที่ไม่ไกลดังฤดูกาลที่ผ่านมา อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมคือทีมที่เขี่ยพวกเขาตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายทั้งที่ไอ้ม้าลายกำความได้เปรียบในนัดแรกด้วยประตูนอกบ้าน แต่กลับตกม้าตายพ่ายแพ้ในบ้านตัวเอง ดังนั้น นอกเหนือไปจากสภาพทีมที่ลงตัวแล้ว ความมุ่งมั่นและความละเอียดในการเล่นรวมทั้งความไม่ประมาท น่าจะส่งให้ยูเวนตุสไปได้ไกลในเวทียุโรปจนอาจถึงแชมป์ที่รอคอยมานาน

ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2019/2020 ปลายทางของสโมสรยุโรปที่ต้องการปิดม่านด้วยถ้วยหูโต

บรรดาลีกฟุตบอลยุโรปต่างทยอยเปิดม่านฟาดแข้งกันอย่างคึกคัก ไล่เรียงไปตั้งแต่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, ลีกเอิง ฝรั่งเศส ที่เปิดตัวไปก่อนใคร ตามมาด้วยบุนเดสลีกา เยอรมนี, ลาลีกา สเปน และกัลป์โซ เซเรีย อา อิตาลี ตามลำดับ ซึ่งทีมใหญ่ของแต่ละลีกต่างก็พยายามเสริมและปรับปรุงทีมเพื่อให้พร้อมต่อสู้แย่งชิงถ้วยที่มีความสำคัญสูงสุดของแต่ละลีก รวมไปถึงการเตรียมทีมที่ต้องพร้อมสู้ศึกกับบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ต่างลีกในฟุตบอลรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่อาจดูเป็นงานยากกว่าการที่ทีมใหญ่จะคว้าแชมป์ลีกภายในประเทศเสียอีก แต่นั่นก็คือปลายทางที่ทุกทีมต้องการพิสูจน์ความเป็นเจ้ายุโรป

พาเหรดสุดยอดสโมสรยุโรป การโม่แข้งระดับทวีปของบิ๊กทีมลีกดัง

อันที่จริงเมื่อทุกลีกในยุโรปเริ่มปิดฉากลงหลังทราบว่าใครเป็นแชมป์เมื่อฤดูกาล 2018/2019 แฟนบอลก็คงพอมองเห็นเค้ารางของเส้นทางการก้าวไปสู่แชมป์ถ้วยหูโตกันบ้างแล้ว จากค่าสัมประสิทธิ์ผลงานโดยรวมของสโมสรแต่ละประเทศทำให้เราได้เห็นตัวเต็งจากประเทศต่าง ๆ ที่จะมีชื่อไปปรากฏอยู่ในโถเพื่อจับสลากในรอบแบ่งกลุ่ม โดยจะมีทีมจากอังกฤษ 4 ทีม คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล,

สเปอร์ และเชลซี ทีมจากอิตาลี 4 ทีม คือ ยูเวนตุส, นาโปลี, อินเตอร์ มิลาน และอตาลันตา ทีมจากสเปน 4 ทีม คือ บาร์เซโลนา, เรอัล มาดริด,แอตเลติโก มาดริด และบาเลนเซีย เยอรมนีอีก 4 ทีม ได้แก่ บาเยิร์น มิวนิค, โบรุสเซีย ดอร์ทมุน, แอร์เบ ไลป์ซิก และไบเออ เลเวอร์คูเซน ส่วนฝรั่งเศสได้โควตา 3 ทีม โดยลียงจะต้องไปเล่นในรอบคัดเลือกเสียก่อน ปล่อยให้ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และลีลล์ เข้าไปรอในรอบแบ่งกลุ่มอยู่ก่อน 2 ทีม

จากชื่อทีมที่การันตีการเข้ารอบแบ่งกลุ่มที่พาเหรดทีมดังจากลีกระดับท็อปของยุโรปไว้อย่างคับคั่ง บรรดาแฟน ๆ ของแต่ละทีมต่างก็ต้องลุ้นกันว่าทีมรักของตนจะถูกจับไปเป็นทีมวางในโถใดเพื่อจับสลากแบ่งสายสู่รอบแบ่งกลุ่ม สำหรับปีนี้ทีมเต็งในโถที่ 1 ซึ่งจะเป็นตัวยืนของแต่ละสายประกอบด้วย ลิเวอร์พูล, แมนเชลเตอร์ ซิตี้, ยูเวนตุส, บาเยิร์น มิวนิค, บาร์เซโลนา, เชลซี, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ส่วนทีมใหญ่ที่หล่นไปอยู่ในโถที่ 2 ก็ได้แก่เรอัล มาดริด, สเปอร์ และดอร์ทมุนด์ หรือแม้แต่ในโถที่ 3 ก็ยังมีทีมอย่างอินเตอร์ มิลาน และบาเลนเซีย ที่ชื่อชั้นไม่ต่างจากสโมสรในสองโถแรกสักเท่าไร

เส้นทางที่มีความเป็นไปได้ กลุ่มแห่งความตายที่อาจเขี่ยทีมใหญ่ให้ตกรอบ

ความสนุกของยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก มักจะเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่งในรอบแบ่งกลุ่มเสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะการจับสลากที่ชวนให้แฟนบอลลุ้นกันว่าทีมที่เชียร์จะจับพลัดจับผลูไปตกอยู่ในกลุ่มที่มีแต่บรรดาบี๊กทีม หรือที่เรียกว่ากรุ๊ป ออฟ เดธ หรือไม่ เพราะนั่นย่อมเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่ทีมจะต้องปลิวตกรอบแบ่งกลุ่มไปก่อนใครได้อย่างไม่อยาก และต้องรอลุ้นกันต่อไปว่ายูฟ่าจะประกาศวันจับสลากแบ่งกลุ่มเมื่อใด

หากลองมาดูกันเล่น ๆ ถึงความเป็นไปได้สำหรับฤดูกาล 2019/2020 ย่อมมีโอกาสสูงมากที่จะมีกรุ๊ป ออฟ เดธได้ 2-3 กลุ่มเลยทีเดียว เพราะหากลียงผ่านรอบคัดเลือกเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จก็จะถูกจับไปอยู่ในโถที่ 3 อย่างแน่นอน คิดง่าย ๆ ว่าหากทีมอย่างอินเตอร์ มิลาน ซึ่งอยู่โถ 3 ต้องถูกจับไปอยู่กับทีมโถ 2 อย่างเรอัล มาดริด และเจอทีมในโถ 1 ทีมใดก็ได้ที่ไม่ใช่เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก หรือลียง ถูกจับไปอยู่สายเดียวกับดอร์ทมุนด์ และบรรดาทีมในโถที่ 1 จะเห็นว่ามีโอกาสเป็นไปได้ทั้งหมด ดังนั้น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2019/2020 จึงน่าจะเป็นฤดูกาลหนึ่งที่เข้มข้นชวนให้ลุ้นกันยาว ๆ ว่าใครจะได้ครองถ้วยหูโตในท้ายที่สุด 

อาร์เซนอล สุดยอดทีมที่กลับคืนสู่สามัญด้วยวัฏจักรและความเปลี่ยนแปลงของโลกฟุตบอล

ปลายยุค 90 ถือเป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองของอาร์เซนอลยอดทีมแห่งกรุงลอนดอนอย่างแท้จริง ไอ้ปืนใหญ่คือทีมที่เล่นบอลได้อย่างสวยงามลงตัวทุกตำแหน่งตั้งแต่กองหน้าจนถึงผู้รักษาประตู ผู้จัดการทีมและนักเตะทุกคนล้วนเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้สโมสร แต่วัฏจักรของทุกสิ่งบนโลกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือเมื่อถึงจุดสูงสุดก็จำเป็นต้องกลับคืนสู่สามัญดังเช่นอาร์เซนอลในทุกวันนี้ที่ยังคงพยายามตามหาร่องรอยความสำเร็จอย่างในอดีต

เวนเกอร์ ชายผู้สร้างปืนใหญ่ที่ไร้เทียมทานภายใต้ข้อจำกัดแบบนักธุรกิจ

อาร์แซน เวนเกอร์ คือ ยอดกุนซือที่ดลบันดาลความสำเร็จให้ทีมไอ้ปืนใหญ่อย่างมากมายที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์ของสโมสรเคยมีมา เขาพลิกโฉมจากทีมที่เล่นบอลสไตล์อังกฤษแบบดั้งเดิมโยนจากด้านข้างอาศัยกองหน้าร่างใหญ่ทำประตูด้วยลูกกลางอากาศ และเน้นผลการแข่งขันที่ไม่สนใจความสนุกสนานสวยงามของเกมฟุตบอล ให้กลายเป็นทีมที่เล่นบอลบนพื้นเป็นส่วนใหญ่การเจาะหาช่องด้วยการทำชิ่งอย่างสวยงามและบดขยี้คู่แข่งไปเรื่อยจนกว่าเสียงนกหวีดจะดังขึ้นทำให้อาร์เซนอลกลายเป็นทีมที่เล่นบอลได้สนุก สวยงาม และไร้เทียมทานดังขุนพลในชุดไร้พ่ายเมื่อฤดูกาล 2003/2004 นั่นเอง

เอกลักษณ์ของอาร์เซนอลในทุกยุคสมัยคือการไม่ทุ่มซื้อนักเตะจนเกินไปเพื่อคงไว้ซึ่งสถานะทางการเงินที่มีสมดุลในมุมมองของนักธุรกิจ แม้ในยุคเวนเกอร์ที่สร้างทีมจนเกรียงไกรก็ไม่เว้น แม้อาร์เซนอลจะประสบความสำเร็จมากมายแต่เวนเกอร์เลือกซื้อนักเตะเท่าที่จำเป็นเสริมเข้าสู่ทีมแบบค่อยเป็นค่อยไปส่วนมากก็ไม่ใช่ระดับดาวดังราคาสูงจนเกินไป หากแต่ความเฉียบแหลมของยอดกุนซือเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถเสาะหานักเตะที่เหมาะสมกับระบบของทีมจนปลุกปั้นให้ผู้เล่นทุกคนเล่นผสานกันได้อย่างลงตัวไร้ที่ติ

ความหวังที่ปลายอุโมงค์ กับการสร้างทีมเพื่อลุ้นแชมป์ตามแบบอูไน เอเมรี

สภาพการแข่งขันในตลาดนักเตะที่ดุเดือดจนราคาพุ่งไปไกลเกินจริงหากเทียบกับในอดีต แต่รูปแบบการบริหารธุรกิจของอาร์เซนอลยังคงเดิม อีกทั้งนักเตะที่ทีมสร้างจนเป็นสตาร์ก็ถูกปล่อยออกด้วยเหตุผลทางธุรกิจเป็นสำคัญ เวนเกอร์จึงทำได้เพียงประคองให้สโมสรเกาะกลุ่มอยู่ในอันดับท็อปโฟร์และห่างไกลคำว่าลุ้นแชมป์เรื่อยมาจนในที่สุดการหันหลังให้สโมสรจึงเป็นทางออกของทุกฝ่าย อูไน เอเมรี จึงถูกแต่งตั้งขึ้นเพื่อกอบกู้ความยิ่งใหญ่นั้นกลับมาให้กับสโมสร

เมื่อดูจากฤดูกาลแรกของเอเมรีแล้ว คงเป็นเรื่องหนักใจสำหรับกองเชียร์ด้วยผลงานที่ไม่คงเส้นคงวา แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะจุดอ่อนของอาร์เซนอลมีหลายจุดที่ต้องปรับจูน เกมรุกที่ดูมีทรงบอลที่ดุดันสวยงามอาจไม่ต่างจากยุคเวนเกอร์เท่าไร แตกต่างจากเกมรับที่ยังไม่สามารถหาคำตอบที่ใช่ได้นับแต่ยุคสมัยขุนพลไร้พ่ายที่มีทั้ง โซล แคมป์เบลล์ และโคโล ตูเร เป็นคู่เซ็นเตอร์ และมีปาทริค วิเอรา คอยปัดกวาดเป็นกลางตัวรับ การเสริมทีมในฤดูกาลที่ 2 ของเอเมรีจึงน่าจับตามองว่าจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดหรือไม่ ตลาดนักเตะสำหรับทีมในพรีเมียร์ลีกปิดตัวลงไปเมื่อ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา ปืนใหญ่ถือว่าเสริมทีมได้น่าสนใจ ได้ทั้งดาวิด ลุยซ์ และคีแรน เทียร์นีย์ มาเสริมความแน่นให้แผงหลัง อีกทั้งการยืมตัวดานี เซบายอส ก็คงทำให้แผงกลางมีมิติขึ้นทั้งรุกและรับ รวมถึงปีกตัวจี๊ดอย่างนิโกลาส์ เปเป้ ที่ทุ่มซื้อเป็นสถิติสโมสรก็น่าจะทำให้แฟนบอลปืนใหญ่มีความหวังที่จะได้เห็นทีมมีโอกาสอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ได้มากกว่าหลายฤดูกาลที่ผ่านมา

ซูเอา เฟลิกซ์ ชื่อนี้ที่คุณต้องรู้จัก ดาวรุ่งแห่งวงการที่มีมูลค่า 126 ล้านยูโร

หากให้นึกชื่อดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งวงการฟุตบอลในยุคนี้ก็คงต้องนึกถึงชื่อ คีลิยัน เอมบัปเป เป็นอันดับแรกอย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่เพียงตลาดนักเตะที่ผ่านมากลับมีชื่อนักฟุตบอลดาวรุ่งอีกหนึ่งคนที่สร้างความฉงนสงสัยให้กับคอกีฬาฟุตบอลทั่วโลกว่าไอ้เด็กหนุ่มคนนี้มันเป็นใครเหตุใดทีมใหญ่จึงรุมแย่งตัวมีข่าวไม่เว้นแต่ละวัน และท้ายที่สุดก็เป็นแอตเลติโก มาดริด ที่ตกลงปลงใจส่งสินสอดให้เบนฟิกาเชยชมด้วยมูลค่า 126 ล้านยูโร แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึง ซูเอา เฟลิกซ์ เด็กหนุ่มสัญชาติโปรตุกีสนั่นเอง

วันเดอร์คิด สุดยอดเด็กเทพที่ควรค่าแก่การลงทุนเพื่ออนาคตหรือไม่…?

 เด็กหนุ่มวัย 19 กะรัต ผู้มีเท้าขวาอันเฉียบคมเป็นนักฟุตบอลระดับเยาวชนของทีมเอฟซี ปอร์โต ก่อนจะย้ายมาอยู่กับเบนฟิกาในทีมชุด U17 แบบไม่มีค่าตัวเนื่องจากหมดสัญญา ซึ่งเป็นที่เบนฟิกานี่เองที่หล่อหลอมและให้โอกาสเขาจนกลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามอง จากนักเตะเยาวชนชุด U17 ก้าวขึ้นสู่ชุด U19 และชุดเบนฟิกา B ตามลำดับ ก่อนจะขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2018 โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้เฟลิกซ์ใช้เวลาเพียง 3 ปีสำหรับการก้าวกระโดดแซงหน้าเด็กรุ่นเดียวกันและกลายเป็นกำลังหลักของเบนฟิกาสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลีกโปรตุเกสไปในทันที

ความสุดยอดในฝีเท้าของกระทาชายนายเฟลิกซ์ถึงขั้นถูกยกเอาไปเปรียบเทียบว่ามีความละม้ายคล้ายริคาร์โด กาก้า อดีตสตาร์ทีมชาติบราซิล ด้วยสไตล์การเล่นและความฉลาดเป็นกรดเมื่ออยู่ในสนาม การที่แอตเลติโก มาดริดคว้าเขามาครองด้วยราคาอันสุดแสนสะพรึงหากจะบอกว่าเขาเป็นรองเพียงเนย์มาร์ และเอมบัปเปเท่านั้น หรือก็หมายถึงราคาค่าตัวสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก กับการพิสูจน์ตัวเองในลีกสูงสุดแดนฝอยทองเพียงฤดูกาลเดียวที่อาจดูเสี่ยงจะขาดทุนย่อยยับหากผลงานของเขาสวนทางกับราคาก็เป็นได้ นั่นเพราะการค้าแข้งในลีกที่เข้มข้นระดับลาลีกย่อมไม่ธรรมดา คำตอบนั้นอยู่ที่ว่าแอตเลติโก มาดริดจะเลือกใช้งานเขาแบบไหน การเสียอองตวน กรีซมันน์ไปให้บาร์เซโลนาย่อมทำให้ทีมตราหมีมองหานักเตะระดับพรสวรรค์เพื่อแทนที่ และการทุ่มซื้อเฟลิกซ์ด้วยราคาขนาดนี้ก็คงคาดหวังให้มาช่วยยกระดับของทีมแทนกรีซมันน์ แต่การใช้งานนักเตะในช่วงวัยทีนที่ยังเสริมกระดูกไม่แข็งพอมาเป็นตัวหลักก็อาจส่งผลในทางลบกับทั้งสโมสรและตัวนักเตะเองในระยะยาว

ผลงานไฉไลในปรีซีซัน เค้าลางที่ดีสำหรับการเริ่มต้นที่แอตเลติโก มาดริด

จากความกังวลของแฟนทีมตราหมีว่าการซื้อซูเอา เฟลิกซ์ จะคุ้มค่าหรือไม่เพราะราคาขนาดนี้หากจะไปเลือกเอาสตาร์ดังสักคนที่ชั่วโมงบินสูงกว่าย่อมเป็นไปได้ และน่าจะสร้างความมั่นใจได้มากกว่าเป็นไหน ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ฉายแววความเป็นอัจฉริยะนักเตะให้แฟน ๆ ได้เห็นในช่วงปรีซีซันทั้งยิงทั้งจ่ายแบบถล่มทลาย อีกทั้งแววตาและคาแรคเตอร์ในสนามก็แสดงให้เห็นชัดว่าเขามีความพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์อันเป็นคุณลักษณะของสุดยอดนักเตะที่พึงมี

หากเฟลิกซ์แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวก็จะทำให้เป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่าสุด ๆ ของแอตเลติโก มาดริด ในทางกลับกันทีมที่เสียดายสุด ๆ คงไม่พ้นเอฟซี ปอร์โต ทั้งที่เป็นผู้เริ่มบ่มเพาะเฟลิกซ์มากว่า 7 ปี แต่กลับปล่อยเพชรในมือออกไปโดยที่ยังไม่ได้เจียระไนให้ดีเพียงเพราะเหตุผลที่ว่าเขาดูบอบบางเกินไปสำหรับฟุตบอล

โรเมลู ลูกากู ยอดกองหน้าตัวเป้า ความเสี่ยงที่อาจคุ้มค่าสำหรับอินเตอร์มิลาน

ตลาดซื้อขายนักฟุตบอลได้ปิดตัวลงไปแล้ว การเสริมทีมด้วยนักฟุตบอลฝีเท้าดีของทุกสโมสรจึงสิ้นสุดลงจนกว่าจะถึงตลาดฤดูหนาวต้นปี 2020 และหนึ่งในการซื้อขายที่กินเวลานานนับแต่เริ่มเปิดตลาด มีข่าวที่ถูกนำเสนอทั้งที่มีแนวโน้มว่าจะย้ายแน่ และอาจไม่ได้ย้ายอยู่ไม่เว้นวัน แต่ท้ายที่สุดการย้ายก็เกิดขึ้นในวันท้าย ๆ ก่อนตลาดจะปิดตัวลง เป็นผลสรุปที่น่าจะพึงพอใจกับทุกฝ่าย หนึ่งในดีลที่น่าสนใจด้วยมุมมองที่หลากหลายจากผู้สันทัดกรณีว่าคุ้มค่าหรือไม่ นั่นคือ ดีลของกองหน้าร่างยักษ์ โรเมลู ลูกากู

เส้นทางนักเตะอาชีพที่ไม่เรียบหรูแต่มากด้วยความทรงจำของชายที่ชื่อลูกากู

                โรเมลู ลูกากู ถือสัญชาติเบลเจียน และติดทีมชาติในทีมเยาวชนตั้งแต่ชุดอายุไม่เกิน 15 ปี, 18 ปี และ 21 ปี ตามลำดับก่อนจะก้าวขึ้นสู่ทีมชาติเบลเยียมชุดใหญ่ด้วยอายุยังไม่ถึง 20 ปีเสียด้วยซ้ำ ลูกากูมีพื้นฐานในครอบครัวที่มีฐานะยากจนเริ่มเล่นฟุตบอลด้วยแรงบันดาลใจของผู้เป็นพ่อซึ่งเล่นฟุตบอลเป็นอาชีพ ด้วยรูปร่างใหญ่โตเกินเด็กในวัยเดียวกันทั้งพละกำลังและไหวพริบในการจบสกอร์ทำให้เขาก้าวเข้าสู่สโมสรเยาวชนอันเดอร์เลชท์ซึ่งเป็นสโมสรใหญ่ของลีกเบลเยียม และสามารถก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น นั่นนับเป็นก้าวแรกของเส้นทางการเป็นนักเตะอาชีพของโรเมลู ลูกากู

การย้ายทีมของโรเมลู ลูกากู จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปสู่อินเตอร์ มิลาน ถือเป็นการย้ายออกนอกอังกฤษครั้งแรกของเขา เพราะนับตั้งแต่ก้าวสู่การเป็นนักเตะอาชีพ ลูกากูก็ได้รับความสนใจจากยักษ์ใหญ่แห่งเกาะอังกฤษอย่างเชลซี แต่น่าเสียดายที่เชลซีในวันนั้นมีกองหน้าชั้นยอดอย่างดร็อกบา ซึ่งยากเกินกว่าที่นักเตะดาวรุ่งอย่างเขาจะสอดแทรกขึ้นไปได้ หากแต่การย้ายไปสู่ทีมฝั่งเมอร์ซีไซด์อย่างเอฟเวอร์ตันกลับทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่อันตรายที่สุดในพรีเมียร์ลีกขณะนั้น และแน่นอนว่าด้วยฟอร์มที่ร้อนแรงบวกกับอายุเพียง 20 ปีต้น ๆ ย่อมทำให้มูรินโญ่ กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขณะนั้นยอมทุ่มเงิน 75 ล้านปอนด์คว้าตัวเขามาเพื่อเป็นตัวความหวังแดนหน้าในการนำพาความสำเร็จกลับมาสู่โอลด์แทรฟฟอร์ด หากแต่ความจริงช่างเล่นตลก เพราะแม้ว่าลูกากูจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยสำหรับตำแหน่งกองหน้า แต่ภาพรวมของทีมที่กระท่อนกระแท่นทำแต้มหลุดมือเป็นประจำกับทีมเล็กทีมน้อย ค่าตัวระดับ 75 ล้านปอนด์จึงย้อนมาทำร้ายเขาด้วยความคาดหวังจากแฟนบอลที่ต้องการเห็นเขาถล่มประตูช่วยทีมได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ปัญหาที่ต่อเนื่องมาจนยุคของโอเล กุนนาร์ โซลชา ไฟในตัวของลูกากูดูเหมือนจะมอดลงด้วยฟอร์มในสนามที่ขาดความดุดันมุ่งมั่น การขายเขาออกไปหาความท้าทายใหม่ยังต่างแดนด้วยราคา 73.9 ล้านปอนด์ จึงน่าจะเป็นทางออกที่สมประโยชน์กับทุกฝ่าย

จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของทีมงูใหญ่ที่อาจพาสโมสรกลับมาทวงความยิ่งใหญ่

                การกลับคืนสู่เวทียุโรปของทีมอินเตอร์ มิลาน เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้สโมสรต้องเร่งเดินหน้าเพื่อสร้างทีมให้แข็งแกร่ง เริ่มตั้งแต่ผู้จัดการทีมซึ่งได้อันโตนิโอ คอนเต้มารับหน้าที่กุมบังเหียน และตามมาด้วยการจับจ่ายในตลาดนักเตะอย่างน่าตื่นตาตื่นใจเพื่อผนวกกำลังกับทีมชุดเดิมที่ถือว่าแข็งแกร่งในระดับหนึ่งอยู่แล้ว การได้โรเมลู ลูกากู ก็น่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทีมงูใหญ่ได้เป็นอย่างมาก

เซเรีย อา จัดว่าเป็นลีกที่เล่นบอลเชิงระบบ มีสปีดของเกมช้ากว่าพรีเมียร์ลีกพอสมควร อีกทั้งการเข้าปะทะก็ไม่ได้หนักหน่วงดุดันเท่า ประสบการณ์นักเตะอาชีพในเวทีพรีเมียร์ลีกจึงน่าจะทำให้ลูกากูฉายแสงความเป็นเพชฌฆาตดาวยิงได้อีกครั้ง และอาจเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้อินเตอร์ มิลานกลับมาต่อกรกับบรรดายอดทีมในแดนมักกะโรนีและทีมในยุโรปอย่างสูสีอีกครั้งก็เป็นได้

เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยอดกุนซือมากฝีมือ ผู้เสพติดความสมบูรณ์แบบและชัยชนะ

ฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม ผู้เล่นทุกคนคือฟันเฟืองสำคัญแต่ละชิ้นที่ประกอบกันเพื่อสร้างความสำเร็จมาสู่สโมสร แต่ฟันเฟืองทุกชิ้นคงไม่สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพหากผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมันสมองของสโมสรไม่สามารถประกอบฟันเฟืองแต่ละตัวให้ทำงานสอดรับกันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น บุคคลที่คอยทำหน้าที่อยู่ข้างสนามอย่างผู้จัดการทีมฟุตบอลจึงเปรียบเสมือนหัวใจแห่งความสำเร็จที่ทุกสโมสรให้ความสำคัญ

ชายผู้มีปรัชญาแห่งฟุตบอลที่สวยงาม ผู้บันดาลความสำเร็จให้กับทุกสโมสร

ผู้จัดการทีมฟุตบอลที่จัดอยู่ในกลุ่มยอดคนสมองเพชรแห่งยุคสมัยนี้มีอยู่หลายราย อาทิ โชเซ่ มูรินโญ่, อันโตนิโอ คอนเต้, เจอร์เกน คล็อปป์ และขาดไม่ได้กับชายที่ชื่อว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยอดกุนซือผู้ฝากผลงานความสำเร็จไว้ให้กับทุกสโมสรที่ย่างเท้าเข้าไปรับหน้าที่ผู้จัดการทีม ในสมัยเด็กเป๊ปเติบโตมากับฟุตบอลแบบบาร์เซโลนา เป็นผลผลิตจากศูนย์ฝึกเยาวชน ลา มาเซีย ด้วยความเข้มงวดและขึ้นชื่อเรื่องการสร้างนักเตะอาชีพที่พัฒนาทั้งฝีเท้าและปรัชญาการเล่นฟุตบอลที่สวยงาม แม้ในสมัยเป็นนักเตะอาชีพเขาอาจไม่ได้เป็นซุปเปอร์สตาร์ของวงการแต่ก็จัดอยู่ในประเภทนักเตะฝีเท้าดีที่พาบาร์เซโลนาคว้าแชมป์ได้ไม่น้อย และนั่นคือรากฐานที่ถูกปลูกฝังให้กลายฟุตบอลแบบเป๊ป กวาร์ดิโอล่า อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้

ฟุตบอลแบบ Tiki-Taka คือสไตล์การเล่นที่สร้างชื่อให้กับเป๊ป สามารถสร้างให้บาร์เซโลนากลายเป็นยอดทีมไร้เทียมทานแห่งยุค จนแฟนบอลขนานนามว่าทีมจากต่างดาวที่ไม่มีสโมสรใดบนโลกนี้จะต่อกรด้วยได้ แม้ความอิ่มตัวจากความสำเร็จที่ล้นทะลักย่อมทำให้ยอดโค้ชเลือกหันหลังให้กับทีมแห่งกาตาลัน แต่เพชรย่อมเป็นเพชรเขาแสดงให้เห็นว่าปรัชญาการทำทีมของเขาไม่ได้ใช้ได้กับบาร์เซโลนาได้เพียงทีมเดียวเท่านั้น บาเยิร์นมิวนิกคืออีกหนึ่งสโมสรที่ถูกเป๊ป ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นให้เข้ากับปรัชญาการทำทีมของตนเอง แม้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ไม่ได้กวาดโทรฟีมากมายดังเช่นที่สเปนแต่เป๊ปก็สามารถสร้างฟุตบอลที่สวยงามให้แฟนบอลได้ตื่นตาตื่นใจ และกับสโมสรปัจจุบันแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ซึ่งเป๊ปได้แสดงเอกลักษณ์การทำทีมของตนเองให้กระฉ่อนโลกอีกครั้ง ทีมเรือใบสีฟ้าชุดปัจจุบันเข้าขั้นยอดทีมแห่งยุคสมัยก็ว่าได้ด้วยรูปแบบเกมรุกที่รวดเร็ว แม่นยำ การต่อบอลน้อยจังหวะตามสไตล์ของเป๊ปถูกปลูกถ่ายให้กับนักเตะทุกคน การคว้าทุกถ้วยบนเกาะอังกฤษตอกย้ำความเป็นเป๊ปได้เป็นอย่างดี และหากเรือใบสีฟ้าจะแล่นไปคว้าแชมป์เจ้ายุโรปในเร็ววันนี้ก็คงยิ่งทำให้ชื่อเป๊ป กวาร์ดิโอลา กลายเป็นตำนานที่ถูกกล่าวขานไปอีกนาน

ยอมหักไม่ยอมงอ วิถีฟุตบอลที่พร้อมแตกหักเพื่อเป้าหมายสูงสุดของทีม

ชายผู้เสพติดความสมบูรณ์แบบเข้าขั้นเพอร์เฟคชั่นนิสต์ คือลักษณะนิสัยที่จริงจัง มุ่งมั่นเพื่อผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมไร้ที่ติ อาจฟังดูเกินจริงในโลกของฟุตบอลอาชีพ แต่คำว่าเกินจริงคงใช้ไม่ได้กับผู้ชายอย่างเป๊ป การสร้างทีมของเขาต้องสมบูรณ์แบบ เขาใส่ใจทุกรายละเอียดโดยไม่ยอมปล่อยให้เรื่องไม่ถูกต้องเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านไปอย่างไม่ได้รับการแก้ไข จนบางครั้งมันก็อาจกลายเป็นข้อเสียส่วนตัวที่เขามักมีปัญหากับลูกทีม หรือบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเขาอยู่บ่อยครั้ง บางรายยังเลยเถิดไปจนถึงขั้นแตกหักต้องแยกทางกันไปก็มีไม่น้อย

วิถีฟุตบอลของเป๊ปมีความตรงไปตรงมา ถ้าเป้าหมายคือความสำเร็จผู้เกี่ยวข้องทุกคนก็ต้องทำตามรูปแบบที่เขาวางไว้ทุกกระเบียดนิ้ว นั่นจึงทำให้ทุกทีมที่เขาเลือกรับหน้าที่โค้ชล้วนมีถ้วยรางวัลประดับตู้โชว์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำคือความรักในกีฬาฟุตบอลที่สามารถแสดงออกมาด้วยปรัชญาการทำทีมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างแท้จริง

คืนวันที่ผันเปลี่ยนของสโมสรเชลซี จากจุดสูงสุดที่ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

สโมสรเงินถุงเงินถังอย่างเชลซีจัดเป็นทีมประเภทอยากได้ใครก็ต้องได้ นับตั้งแต่โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรสำเร็จมหาเศรษฐีแห่งดินแดนหมีขาวก็ร่ายเวทย์มนต์ด้วยเม็ดเงินของเขาบันดาลความสำเร็จมาสู่เชลซีอย่างยิ่งใหญ่ จากทีมระดับกลางของพรีเมียร์ลีกกลับกลายเป็นทีมหัวแถวที่ลุ้นแชมป์ทุกฤดูกาล ทีมสิงโตน้ำเงินครามจึงเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ด้วยหลักฐานอย่างถ้วยรางวัลการแข่งขันทุกรายการทั้งในประเทศและระดับทวีปยุโรป  

อับราโมวิชผู้พาเชลซีก้าวมาไกลเกินฝัน ทุกสิ่งเป็นจริงได้เพียงปลายนิ้วสั่ง

นับตั้งแต่ปี 2004 ที่อับราโมวิชได้เข้ามาถืออำนาจเบ็ดเสร็จในสโมสร เขาจัดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างแทบจะทันทีทันใด ด้วยนิสัยของนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีที่กล้าทุ่มกล้าเสี่ยง นับตั้งแต่การดึงโชเซ มูรินโญ ยอดกุนซือฟอร์มร้อนในขณะนั้น รวมทั้งการกว้านซื้อนักเตะระดับสตาร์อีกหลายรายโดยไม่สนใจรายจ่ายที่เสียไปว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ และนั่นถือเป็นความเสี่ยงที่คุ้มสุดคุ้มดังที่เห็นในทุกวันนี้ เชลซีสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และอีกหลายครั้งตามมา รวมทั้งถ้วยใหญ่สุดของทวีปยุโรป ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ก็ยังสามารถนำมาประดับตู้โชว์ได้เป็นผลสำเร็จ การลงทุนแบบบ้าคลั่งของอับราโมวิชจึงน่าจะคุ้มค่าตอบสนองความต้องการของเขาได้ทุกเพนนีเลยทีเดียว

การสร้างสโมสรของอับราโมวิชเป็นแบบตรงไปตรงมา ตัวเองอยากได้นักเตะคนไหนก็จะเข้าแทรกแซงการซื้อขายโดยไม่สนใจโค้ชหรือรูปแบบวิธีการที่เหมาะสม และนี่จึงเป็นจุดหนึ่งที่เชลซีมักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง ฤดูกาล 2018/2019 เป็นเพียงฤดูกาลเดียวที่เมาริซิโอ ซาร์รี ได้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีม ด้วยผลงานของสโมสรที่ไม่เข้าตาแม้คว้าแชมป์ถ้วยรองเวทียุโรปมาครองก็สั่งฟ้าผ่าปลดกันแบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องให้เวลาแก้ตัวทั้งที่เพิ่งให้เวลาทำงานไปเพียงหนึ่งฤดูกาลเท่านั้น และกุนซือผู้รับชิ้นเผือกร้อนคนล่าสุดอย่างแฟรงค์ แลมพาร์ด ผู้เป็นตำนานของเชลซีครั้งยังเป็นนักเตะแต่ยังถือว่าใหม่สำหรับงานกุนซือ เขาจะสามารถพาทีมกลับสู่เส้นทางความสำเร็จที่เข้าตาผู้เป็นเจ้าของสโมสรได้มากน้อยแค่ไหนจึงเป็นประเด็นที่หลายคนตั้งคำถาม

แฟรงค์ แลมพาร์ด ผู้กอบกู้ศรัทธาเชลซี ภายใต้ข้อจำกัดที่ยากเกินบรรยาย

เชลซีมักซื้อนักเตะบิ๊กเนมที่พร้อมใช้ได้เลยทันทีเพื่ออุดรอยรั่วในตำแหน่งต่าง ๆ ให้กับทีม แม้ต้องใช้เงินมากแต่ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเสมอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติเช่นว่าจะไม่เกิดขึ้นกับทัพสิงโตน้ำเงินครามในฤดูกาล 2019/2020 จากกรณีถูกแบนตามกฎ Protection of Minors ที่เกี่ยวกับการทำผิดกฎการซื้อขายนักเตะเยาวชน และแน่นอนว่าหากสภาพของทีมก่อนปลดซาร์รีนั้นไม่ได้ฉายแววทีมที่มีลุ้นแชมป์รายการใหญ่ฉันใด การเริ่มต้นของแลมพาร์ดในฤดูกาลใหม่ที่ไม่สามารถเสริมนักเตะใหม่ได้ตามต้องการก็คงไม่ต่างกันฉันนั้น อักทั้งการที่ทีมต้องเสียเอเดน อาร์ซาร์ หัวใจเกมรุกของทีมก็ยิ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุดสำหรับแลมพาร์ด

การทำสัญญาซื้อขายกันล่วงหน้าในดีลคริสเตียน พูลิซิซ จึงเป็นเพียงความหวังเดียวที่อาจพอลุ้นให้เขาสร้างคุณภาพให้กับทีมได้ใกล้เคียงกับที่อาร์ซาร์เคยทำไว้ สิ่งที่แลมพาร์ดจะพอทำได้อีกเรื่องนั่นคือการผลักดันนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดี เช่น เมสัน เมาท์ และ แทมมี่ อับราฮัม ซึ่งก็พอเห็นแววฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมอยู่ไม่น้อย เวลาของแลมพาร์ดในการสร้างเชลซีขึ้นใหม่จะยาวนานแค่ไหนผลงานในสนามจะเป็นคำตอบ และคนที่ตัดสินชี้ขาดคงไม่พ้นอับราโมวิชคนเดิม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดยอดสโมสรที่มากด้วยความสำเร็จกับทิศทางที่เริ่มออกทะเล

หากจะยกให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาสโมสรฟุตบอลที่ขับเคี่ยวกันในลีกที่ดีที่สุดอย่างพรีเมียร์ลีกอังกฤษก็คงจะถูกต้องแล้ว เพราะนับแต่ดิวิชันหนึ่งอังกฤษถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นพรีเมียร์ลีก ยังไม่มีทีมใดนำถ้วยรางวัลไปประดับสโมสรได้มากเท่าทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ได้เลย แต่แล้วเหมือนวิมานความสำเร็จของบรรดาเรด เดวิล ต้องพังทลายลงด้วยเพราะการประกาศวางมือของบรมกุนซือที่ชื่อ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้นำพายูไนเต็ดออกห่างจากความสำเร็จออกไปทุกที

มาตรฐานที่ยากเกินจะเทียบเคียงของเฟอร์กูสัน ข้อสอบที่ยากยิ่งสำหรับยอดโค้ช

การที่เฟอร์กูสันสร้างความสำเร็จไว้มากมาย อาทิ แชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย และยังเป็นทีมเดียวที่สามารถครองแชมป์ลีกสูงสุด 3 สมัยซ้อนได้ถึง 2 หนด้วยกัน อีกทั้งครองเจ้ายุโรปได้ถึง 2 สมัย โดยยังไม่นับรวมแชมป์รายการถ้วยต่าง ๆ อีกหลายรายการย่อมทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่และถูกคาดหวังถึงคุณภาพของทีมที่มีมาตรฐานสูงอยู่เสมอ ซึ่งหลังจากพายูไนเต็ดครองความยิ่งใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นสมัยที่ 20 เฟอร์กูสันก็ประกาศยุติการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมลงทันที

เมื่อเฟอร์กูสันประกาศวางมือจึงเป็นงานหนักที่สโมสรต้องหาผู้จัดการในระดับที่พอวางใจได้เพื่อสืบทอดความยิ่งใหญ่ของสโมสรต่อไป นับแต่เดวิด มอยส์ ที่ถูกคาดหวังว่าเป็นกุนซือฝีมือดีจากผลงานการสร้างรากฐานฟุตบอลที่สวยงามให้กับเอฟเวอร์ตัน ส่งต่อมาที่หลุยส์ ฟาน กัล ยอดกุนซือผู้เอกอุไปด้วยความสามารถทั้งการพาทีมสโมสร และทีมชาติไปสู่จุดสูงสุดมาแล้วหลายต่อหลายทีม กระทั่งโชเซ มูรินโญ่ สุดยอดผู้จัดการทีมคนหนึ่งในยุคนี้ก็ได้รับหน้าที่กุมบังเหียนให้กับปีศาจแดงมาแล้ว และทุกคนล้วนถูกคาดหวังในการพาทีมกลับไปประสบความสำเร็จดังวันวานกันทั้งสิ้น แต่ผลงานที่ปรากฎกลับไม่เป็นเช่นนั้น มูรินโญ่เป็นคนเดียวที่พาทีมไปสู่แชมป์แบบจับต้องได้ทั้งลีก คัพ และยูโรปา ลีก กระนั้นผลงานในพรีเมียร์ลีก ก็กระท่อนกระแท่นและรูปแบบการเล่นของทีมที่ดูจะไม่มีอนาคตสักเท่าไร ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครดีพอจะพาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับไปอยู่บนเส้นทางที่ใกล้เคียงกับความสำเร็จได้เลย

บทเรียนราคาแพงของคู่แข่ง ที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นกับปิศาจแดง

เส้นทางของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจดูคล้ายลิเวอร์พูลในยุครุ่งเรืองถึงขีดสุดที่กอบโกยความสำเร็จเข้าสโมสรอย่างบ้าคลั่ง จนวันหนึ่งถึงจุดอิ่มตัวที่ทีมต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็กลายเป็นเหมือนระเบิดลูกใหญ่ที่ทลายยอดปราสาทแห่งความสำเร็จ จนต้องเริ่มก่อสร้างกันใหม่ตั้งแต่ฐานราก โอเล กุนนาร์ โซลชา กุนซือผู้เป็นลูกหม้อให้กับเรด เดวิลตั้งแต่สมัยค้าแข้ง จึงเป็นอีกหนึ่งคำถามว่าจะสามารถเรียกศรัทธาของแฟนบอลให้กลับมาเชื่อมั่นในทีมได้อีกครั้งในเร็ววันหรือไม่

30 ปีที่หงส์แดงห่างไกลจากแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษอาจเป็นสิ่งที่เตือนใจชั้นดีให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะสายเกินไป การเคลื่อนไหวในตลาดนักเตะก่อนเปิดฤดูกาล 2019/2020 ถือว่าไม่ได้หวือหวามากนักนอกจากแนวรับราคาแพง 2 ราย แฮร์รี แม็กไกวร์ และอารอน วาน-บิสซากา ทั้งที่ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขอีกมากมาย แฟนบอลย่อมหวั่นใจแน่นอน และการที่ปล่อยให้ทีมร้างราความสำเร็จไว้นานวันย่อมสุ่มเสี่ยงต่อผลร้ายระยะยาวอย่างที่ลิเวอร์พูลเคยพบเจอ ฤดูกาลนี้จึงถือเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญบทหนึ่งของทีมบริหารสโมสร และโซลชาที่ต้องรีบหันหัวเรือทีมปิศาจแดงให้กลับเข้าฝั่งโดยเร็วก่อนจะสายเกินไป