Category Archives: นักฟุตบอล

ซูเอา เฟลิกซ์ ชื่อนี้ที่คุณต้องรู้จัก ดาวรุ่งแห่งวงการที่มีมูลค่า 126 ล้านยูโร

หากให้นึกชื่อดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งวงการฟุตบอลในยุคนี้ก็คงต้องนึกถึงชื่อ คีลิยัน เอมบัปเป เป็นอันดับแรกอย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่เพียงตลาดนักเตะที่ผ่านมากลับมีชื่อนักฟุตบอลดาวรุ่งอีกหนึ่งคนที่สร้างความฉงนสงสัยให้กับคอกีฬาฟุตบอลทั่วโลกว่าไอ้เด็กหนุ่มคนนี้มันเป็นใครเหตุใดทีมใหญ่จึงรุมแย่งตัวมีข่าวไม่เว้นแต่ละวัน และท้ายที่สุดก็เป็นแอตเลติโก มาดริด ที่ตกลงปลงใจส่งสินสอดให้เบนฟิกาเชยชมด้วยมูลค่า 126 ล้านยูโร แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึง ซูเอา เฟลิกซ์ เด็กหนุ่มสัญชาติโปรตุกีสนั่นเอง

วันเดอร์คิด สุดยอดเด็กเทพที่ควรค่าแก่การลงทุนเพื่ออนาคตหรือไม่…?

 เด็กหนุ่มวัย 19 กะรัต ผู้มีเท้าขวาอันเฉียบคมเป็นนักฟุตบอลระดับเยาวชนของทีมเอฟซี ปอร์โต ก่อนจะย้ายมาอยู่กับเบนฟิกาในทีมชุด U17 แบบไม่มีค่าตัวเนื่องจากหมดสัญญา ซึ่งเป็นที่เบนฟิกานี่เองที่หล่อหลอมและให้โอกาสเขาจนกลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามอง จากนักเตะเยาวชนชุด U17 ก้าวขึ้นสู่ชุด U19 และชุดเบนฟิกา B ตามลำดับ ก่อนจะขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2018 โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้เฟลิกซ์ใช้เวลาเพียง 3 ปีสำหรับการก้าวกระโดดแซงหน้าเด็กรุ่นเดียวกันและกลายเป็นกำลังหลักของเบนฟิกาสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลีกโปรตุเกสไปในทันที

ความสุดยอดในฝีเท้าของกระทาชายนายเฟลิกซ์ถึงขั้นถูกยกเอาไปเปรียบเทียบว่ามีความละม้ายคล้ายริคาร์โด กาก้า อดีตสตาร์ทีมชาติบราซิล ด้วยสไตล์การเล่นและความฉลาดเป็นกรดเมื่ออยู่ในสนาม การที่แอตเลติโก มาดริดคว้าเขามาครองด้วยราคาอันสุดแสนสะพรึงหากจะบอกว่าเขาเป็นรองเพียงเนย์มาร์ และเอมบัปเปเท่านั้น หรือก็หมายถึงราคาค่าตัวสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก กับการพิสูจน์ตัวเองในลีกสูงสุดแดนฝอยทองเพียงฤดูกาลเดียวที่อาจดูเสี่ยงจะขาดทุนย่อยยับหากผลงานของเขาสวนทางกับราคาก็เป็นได้ นั่นเพราะการค้าแข้งในลีกที่เข้มข้นระดับลาลีกย่อมไม่ธรรมดา คำตอบนั้นอยู่ที่ว่าแอตเลติโก มาดริดจะเลือกใช้งานเขาแบบไหน การเสียอองตวน กรีซมันน์ไปให้บาร์เซโลนาย่อมทำให้ทีมตราหมีมองหานักเตะระดับพรสวรรค์เพื่อแทนที่ และการทุ่มซื้อเฟลิกซ์ด้วยราคาขนาดนี้ก็คงคาดหวังให้มาช่วยยกระดับของทีมแทนกรีซมันน์ แต่การใช้งานนักเตะในช่วงวัยทีนที่ยังเสริมกระดูกไม่แข็งพอมาเป็นตัวหลักก็อาจส่งผลในทางลบกับทั้งสโมสรและตัวนักเตะเองในระยะยาว

ผลงานไฉไลในปรีซีซัน เค้าลางที่ดีสำหรับการเริ่มต้นที่แอตเลติโก มาดริด

จากความกังวลของแฟนทีมตราหมีว่าการซื้อซูเอา เฟลิกซ์ จะคุ้มค่าหรือไม่เพราะราคาขนาดนี้หากจะไปเลือกเอาสตาร์ดังสักคนที่ชั่วโมงบินสูงกว่าย่อมเป็นไปได้ และน่าจะสร้างความมั่นใจได้มากกว่าเป็นไหน ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ฉายแววความเป็นอัจฉริยะนักเตะให้แฟน ๆ ได้เห็นในช่วงปรีซีซันทั้งยิงทั้งจ่ายแบบถล่มทลาย อีกทั้งแววตาและคาแรคเตอร์ในสนามก็แสดงให้เห็นชัดว่าเขามีความพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์อันเป็นคุณลักษณะของสุดยอดนักเตะที่พึงมี

หากเฟลิกซ์แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวก็จะทำให้เป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่าสุด ๆ ของแอตเลติโก มาดริด ในทางกลับกันทีมที่เสียดายสุด ๆ คงไม่พ้นเอฟซี ปอร์โต ทั้งที่เป็นผู้เริ่มบ่มเพาะเฟลิกซ์มากว่า 7 ปี แต่กลับปล่อยเพชรในมือออกไปโดยที่ยังไม่ได้เจียระไนให้ดีเพียงเพราะเหตุผลที่ว่าเขาดูบอบบางเกินไปสำหรับฟุตบอล

โรเมลู ลูกากู ยอดกองหน้าตัวเป้า ความเสี่ยงที่อาจคุ้มค่าสำหรับอินเตอร์มิลาน

ตลาดซื้อขายนักฟุตบอลได้ปิดตัวลงไปแล้ว การเสริมทีมด้วยนักฟุตบอลฝีเท้าดีของทุกสโมสรจึงสิ้นสุดลงจนกว่าจะถึงตลาดฤดูหนาวต้นปี 2020 และหนึ่งในการซื้อขายที่กินเวลานานนับแต่เริ่มเปิดตลาด มีข่าวที่ถูกนำเสนอทั้งที่มีแนวโน้มว่าจะย้ายแน่ และอาจไม่ได้ย้ายอยู่ไม่เว้นวัน แต่ท้ายที่สุดการย้ายก็เกิดขึ้นในวันท้าย ๆ ก่อนตลาดจะปิดตัวลง เป็นผลสรุปที่น่าจะพึงพอใจกับทุกฝ่าย หนึ่งในดีลที่น่าสนใจด้วยมุมมองที่หลากหลายจากผู้สันทัดกรณีว่าคุ้มค่าหรือไม่ นั่นคือ ดีลของกองหน้าร่างยักษ์ โรเมลู ลูกากู

เส้นทางนักเตะอาชีพที่ไม่เรียบหรูแต่มากด้วยความทรงจำของชายที่ชื่อลูกากู

                โรเมลู ลูกากู ถือสัญชาติเบลเจียน และติดทีมชาติในทีมเยาวชนตั้งแต่ชุดอายุไม่เกิน 15 ปี, 18 ปี และ 21 ปี ตามลำดับก่อนจะก้าวขึ้นสู่ทีมชาติเบลเยียมชุดใหญ่ด้วยอายุยังไม่ถึง 20 ปีเสียด้วยซ้ำ ลูกากูมีพื้นฐานในครอบครัวที่มีฐานะยากจนเริ่มเล่นฟุตบอลด้วยแรงบันดาลใจของผู้เป็นพ่อซึ่งเล่นฟุตบอลเป็นอาชีพ ด้วยรูปร่างใหญ่โตเกินเด็กในวัยเดียวกันทั้งพละกำลังและไหวพริบในการจบสกอร์ทำให้เขาก้าวเข้าสู่สโมสรเยาวชนอันเดอร์เลชท์ซึ่งเป็นสโมสรใหญ่ของลีกเบลเยียม และสามารถก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น นั่นนับเป็นก้าวแรกของเส้นทางการเป็นนักเตะอาชีพของโรเมลู ลูกากู

การย้ายทีมของโรเมลู ลูกากู จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปสู่อินเตอร์ มิลาน ถือเป็นการย้ายออกนอกอังกฤษครั้งแรกของเขา เพราะนับตั้งแต่ก้าวสู่การเป็นนักเตะอาชีพ ลูกากูก็ได้รับความสนใจจากยักษ์ใหญ่แห่งเกาะอังกฤษอย่างเชลซี แต่น่าเสียดายที่เชลซีในวันนั้นมีกองหน้าชั้นยอดอย่างดร็อกบา ซึ่งยากเกินกว่าที่นักเตะดาวรุ่งอย่างเขาจะสอดแทรกขึ้นไปได้ หากแต่การย้ายไปสู่ทีมฝั่งเมอร์ซีไซด์อย่างเอฟเวอร์ตันกลับทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่อันตรายที่สุดในพรีเมียร์ลีกขณะนั้น และแน่นอนว่าด้วยฟอร์มที่ร้อนแรงบวกกับอายุเพียง 20 ปีต้น ๆ ย่อมทำให้มูรินโญ่ กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขณะนั้นยอมทุ่มเงิน 75 ล้านปอนด์คว้าตัวเขามาเพื่อเป็นตัวความหวังแดนหน้าในการนำพาความสำเร็จกลับมาสู่โอลด์แทรฟฟอร์ด หากแต่ความจริงช่างเล่นตลก เพราะแม้ว่าลูกากูจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยสำหรับตำแหน่งกองหน้า แต่ภาพรวมของทีมที่กระท่อนกระแท่นทำแต้มหลุดมือเป็นประจำกับทีมเล็กทีมน้อย ค่าตัวระดับ 75 ล้านปอนด์จึงย้อนมาทำร้ายเขาด้วยความคาดหวังจากแฟนบอลที่ต้องการเห็นเขาถล่มประตูช่วยทีมได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ปัญหาที่ต่อเนื่องมาจนยุคของโอเล กุนนาร์ โซลชา ไฟในตัวของลูกากูดูเหมือนจะมอดลงด้วยฟอร์มในสนามที่ขาดความดุดันมุ่งมั่น การขายเขาออกไปหาความท้าทายใหม่ยังต่างแดนด้วยราคา 73.9 ล้านปอนด์ จึงน่าจะเป็นทางออกที่สมประโยชน์กับทุกฝ่าย

จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของทีมงูใหญ่ที่อาจพาสโมสรกลับมาทวงความยิ่งใหญ่

                การกลับคืนสู่เวทียุโรปของทีมอินเตอร์ มิลาน เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้สโมสรต้องเร่งเดินหน้าเพื่อสร้างทีมให้แข็งแกร่ง เริ่มตั้งแต่ผู้จัดการทีมซึ่งได้อันโตนิโอ คอนเต้มารับหน้าที่กุมบังเหียน และตามมาด้วยการจับจ่ายในตลาดนักเตะอย่างน่าตื่นตาตื่นใจเพื่อผนวกกำลังกับทีมชุดเดิมที่ถือว่าแข็งแกร่งในระดับหนึ่งอยู่แล้ว การได้โรเมลู ลูกากู ก็น่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทีมงูใหญ่ได้เป็นอย่างมาก

เซเรีย อา จัดว่าเป็นลีกที่เล่นบอลเชิงระบบ มีสปีดของเกมช้ากว่าพรีเมียร์ลีกพอสมควร อีกทั้งการเข้าปะทะก็ไม่ได้หนักหน่วงดุดันเท่า ประสบการณ์นักเตะอาชีพในเวทีพรีเมียร์ลีกจึงน่าจะทำให้ลูกากูฉายแสงความเป็นเพชฌฆาตดาวยิงได้อีกครั้ง และอาจเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้อินเตอร์ มิลานกลับมาต่อกรกับบรรดายอดทีมในแดนมักกะโรนีและทีมในยุโรปอย่างสูสีอีกครั้งก็เป็นได้

ฤดูที่แตกต่างของ อเล็กซิส ซานเชซ

ภายหลังการโยกย้ายสังกัดเมื่อช่วงตลาดเดือนมกราคม ในฤดูกาล 2017/2018 ที่ อเล็กซิส ซานเชซ ดาวยิงทีมชาติชิลี ได้ย้ายสังกัดมาอยู่ร่วมกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้จุดประกายความหวังในใจแฟนบอลว่า ประสิทธิภาพเกมรุกของทีมจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น และจะมาเป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุกให้กลับมาทะลวงตาข่ายคู่ต่อสู้ได้ดั่งในอดีตที่ผ่านมา

จวบจนในเวลานี้ ศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2018/2019 ได้เดินทางเข้าสู่ช่วงท้ายฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย นับเป็นเวลากว่า 1 ปีที่ อเล็กซิส ซานเชซ ได้ย้ายถิ่นฐานจากเมืองลอนดอนมาสู่เมืองแมนเชสเตอร์ แฟนบอล นักวิเคราะห์ และเหล่านักเตะระดับตำนานของสโมสร ต่างให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า นี่ไม่ใช่ อเล็กซิส ซานเชซ คนเดิมกับที่เคยอยู่ที่ อาร์เซนอล

ถ้าอย่างนั้นจริง ๆ แล้ว อเล็กซิส ซานเชซ คนเดิมที่ทุกคนต่างพูดถึงในอดีตเป็นอย่างไร

ตลอดการค้าแข้งกับทางสโมสรปืนใหญ่ อาร์เซนอล ก่อนที่จะย้ายทีม อเล็กซิส ซานเชซ ถือเป็นแนวรุกคนสำคัญของทางสโมสรเคียงข้างกับนักเตะอย่าง เมซุส โอซิล ภายใต้การทำทีมของกุนซือขงเบ้งเลือดน้ำหอมอย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ โดยสถิติในการลงเล่นช่วงท้ายตลอด 1 ปีหลังก่อนย้ายทีม ซานเชซ มีสถิติการลงเล่นไปทั้งสิ้น 57 นัด ยิงไปทั้งสิ้นถึง 31 ประตู จ่ายให้เพื่อนร่วมทีมยิง 13 ประตู โดยมีค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมกับประตูอยู่ที่ 0.77 ประตูต่อเกม และมีการสร้างโอกาสยิงประตูเกมละ
3.5 ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสถิติการจ่ายสร้างสรรค์โอกาสเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4 ครั้งต่อเกม และสามารถเลี้ยงผ่านคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกม
อยู่ที่ 2.5 ครั้ง

ในทางกลับกัน ภายหลังการย้ายมาร่วมทีมกับทางสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซานเชซ มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 0.31 ประตูต่อเกม โดยสร้างโอกาสยิงไปทั้งสิ้น 1.3 ครั้งต่อเกม จ่ายลูกสำคัญเฉลี่ย 1.7 ครั้งต่อเกม และสามารถเลี้ยงผ่านคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 2.2 ครั้งต่อเกม

โดย อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีม อาร์เซนอล ที่รู้จักทุกแง่มุมถึงข้อดีข้อด้อยของนักเตะรายนี้เป็นอย่างดี ได้ให้ความเห็นกับทางสื่ออังกฤษถึงเหตุผลที่เจ้าตัวไม่สามารถโชว์ศักยภาพของตัวเองได้อย่างแท้จริง จนทำให้ประสบปัญหาฟอร์มตกอย่างหนักในช่วงหลังว่า “ผมคิดว่า อเล็กซิส ได้สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของเขาที่จะทำให้เขาโชว์ศักยภาพออกมาได้เต็มที่คือ การนำความเชื่อมั่นที่เขามีต่อตัวเอง มาแปรเปลี่ยนเป็นพลังเพื่อใช้ในการดวลกับนักเตะฝ่ายตรงข้าม”

เพราะฉะนั้นปัญหาทั้งหมดที่ทาง ซานเชซ กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ อาจไม่ใช่ปัจจัยภายนอก แต่อาจจะเป็นปัญหาภายในสภาพจิตใจ เนื่องจากในอดีตที่เจ้าตัวเคยได้รับการยกย่องจากบรรดาแฟนบอลทีมเก่าอย่าง อาร์เซนอล ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับบรรดาแฟนบอลของทาง ยูไนเต็ด ที่ยังไม่ยอมรับความสามารถในตัวนักเตะ ดังนั้นหากมองในอีกมุม ถ้า
อเล็กซิส ซานเชซ ต้องการเรียกความมั่นใจกลับมา อาจจำเป็นต้องปล่อยวางอดีตไว้เบื้องหลัง และหันกลับมาสู้อีกครั้งในฐานะนักเตะธรรมดาคนหนึ่ง และแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาให้เหล่าแฟนบอลได้เห็นว่า เขานี่แหละ คือนักเตะที่เหมาะสมกับค่าเหนื่อยอันดับหนึ่งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ผลงานแย่จริงหรอ ?

จากผลงานในฤดูกาล 2017/2018 เรียกได้ว่าโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ดาวยิงชาวอียิปต์เป็นส่วนสำคัญของทัพสโมสรหงส์แดง ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง โดยในฤดูกาล 2017/2018 ถือว่าเป็นหนึ่งในแนวรุกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก การันตีผลงานจากการเล่นจู่โจมและสวนกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยิงประตูให้สโมสรอย่างถล่มทลายจนคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของยุโรปมาครอง

                ด้วยแผนการเล่นที่ผู้จัดการทีมอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เข้ามาปลี่ยนแปลงสโมสร ลิเวอร์พูล ให้เน้นเกมรุก เข้า
เพรสซิ่งดุดัน และเข้าจู่โจมสวนกลับอย่างรวดเร็วด้วยปีกทั้งสองข้างมากขึ้น ทำให้ปีกที่มีความเร็วอยู่แล้วอย่าง
โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ สามารถรีดเร้นศักยภาพออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จนทำให้บรรดากองหลังฝ่ายตรงข้ามต้องผวาทุกครั้งเมื่อลูกบอลถูกส่งมาที่เขา

                ต่อมาเมื่อฤดูกาล 2018/2019 ได้เปิดฉากขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของแฟน ๆ ว่า ดาวเตะชาวอียิปต์รายนี้ จะยังคงประสิทธิภาพในการผลิตประตูให้กับสโมสรได้เหมือนดั่งที่ผ่านมา แต่พอเวลาล่วงเลยไป กลับพบว่าสิ่งที่คาดหวังเริ่มสวนทางกับความเป็นจริง เมื่อผลงานด้อยลงจนทำให้สื่อหลาย ๆ สำนักรวมถึงเหล่าแฟนบอลตั้งคำถามว่า แล้วโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ที่เคยเป็นเครื่องจักรถล่มประตูหายไปไหน

                จากสถิติของฤดูกาลนี้ เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว ต้องยอมรับว่าจำนวนการมีส่วนร่วมกับประตูที่ทำได้ของสโมสร ลดลงไปอย่างน่าใจหาย เมื่อในฤดูกาล 2017/2018 ซาล่าห์ มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูของสโมสรทั้งสิ้น 1.2 ประตูต่อเกม เมื่อเทียบกับในฤดูกาลนี้พบว่า สถิติในการมีส่วนร่วมกับประตูลดลงเหลือเพียง 0.6 ประตู ต่อเกมเท่านั้น

                แต่ถ้าเรามองในอีกมุม เจาะลึกถึงข้อมูลทางสถิติลงไปมากกว่านั้น ในฤดูกาลที่แล้ว ซาล่าห์ มีสถิติในการจ่ายลูกสำคัญต่อเกมอยู่ที่ 1.7 ครั้ง เลี้ยงผ่านคู่แข่ง 2.2 ครั้ง และมีโอกาสยิง 4 ครั้งต่อเกม เมื่อนำมาเทียบกับในฤดูกาลนี้จะพบว่า
โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ มีสถิติในการจ่ายลูกสำคัญต่อเกมอยู่ที่ 1.8 ครั้ง เลี้ยงผ่านคู่แข่ง 2.1 ครั้ง และมีโอกาสยิง 3.5 ครั้งต่อเกม ซึ่งก็ถือได้ว่าในแง่ศักยภาพการเล่นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม แล้วอะไรที่ทำให้ประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมกับประตูของเจ้าตัวลดลง

                คำตอบที่ง่ายที่สุดสำหรับเรื่องนี้ คือ เพราะทีมคู่ต่อสู้เริ่มเกิดความชิน

                ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่บรรดาผู้เล่นที่ฟอร์มร้อนแรงกับสโมสรในฤดูกาลแรก กลับฟอร์มตกลงไปอย่างใจหายในฤดูกาลต่อมา เพราะเมื่อบรรดาทีมฝ่ายตรงข้ามเริ่มเกิดความคุ้นชิน บวกกับมีเวลาได้แก้ไข เตรียมตัวที่จะมารับมือมากขึ้น ก็ย่อมส่งผลต่อความยากลำบากมากขึ้นในการเล่น ดังจะเห็นได้จากบรรดาผู้เล่นในอดีตมากมายที่เคยเผชิญกับปัญหานี้กันมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ดีเอโก้ คอสต้า อดีตศูนย์หน้า เชลซี ที่ในฤดูกาลแรกจัดการซัดไปถึง 20 ประตู จากการลงเป็นตัวจริง 24 เกม แต่ในฤดูกาลต่อมากลับยิงประตูได้เพียง 12 ประตู จากการลงเป็นตัวจริง 27 เกม เท่านั้น

                จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าทาง ซาล่าห์ ไม่ได้มีศักยภาพในการเป็นนักเตะที่แย่ลง หรือฝีเท้าที่ผ่านมาไม่ใช่ของจริงแต่อย่างใด ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นในวงการฟุตบอลให้แฟนบอลได้เห็นกันแทบทุกปี และถ้าว่ากันตามจริง หากผลงานการทำประตูที่ติดอันดับต้น ๆ ของลีกในเวลานี้ยังไม่ดีพอ คงต้องย้อนกลับมาถามว่า แล้วในปัจจุบัน จะมีนักเตะซักกี่รายที่มีความสามารถเหนือกว่าชายคนนี้ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์

เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ตัวเต็งรางวัลแข้งยอดเยี่ยมพีเอฟเอ 2018/2019

นับจากวันที่มีข่าวว่าทางสโมสร ลิเวอร์พูล ที่นำทัพโดย เจอร์เก้น คล็อปป์ ดึงดันในการติดต่อขอเจรจาซื้อตัว
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังชาวเนเธอร์แลนด์ให้ได้โดยที่ไม่มีเป้าหมายสำรอง จนเป็นเหตุให้ถึงกับต้องทุ่มเงินเป็นมูลค่าสูงถึง 75 ล้านปอนด์ และสร้างความสงสัยให้กับเหล่าแฟนบอลถึงเหตุผลในการซื้อตัวดาวเตะรายนี้

                แต่ใช้เวลาเพียงไม่นาน เหล่าแฟนบอลทั้งหลายทั่วโลกต่างได้พบคำตอบว่า ทำไมสโมสร ลิเวอร์พูล ถึงต้องทุ่มเงินมากมายมหาศาลถึงขนาดนี้ให้กับนักเตะตำแหน่งกองหลังเพียงรายเดียว

จากผลงานอันยอดเยี่ยมตลอดการค้าแข้งตั้งแต่ย้ายเข้ามาร่วมกับสโมสรอย่าง ลิเวอร์พูล ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงฤดูกาลนี้ ทำให้เหล่านักวิจารณ์ สื่อมวลชน และบริษัทรับพนันถูกกฎหมายของทางอังกฤษ ต่างยกให้ปราการหลังเจ้าของสถิติโลก เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018/2019

                เหตุใด เขาจึงได้รับการยกย่องมากขนาดนี้ ?

                ส่วนหนึ่งคงหนีไม่พ้นเหตุผลที่ว่า เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญมากของทีม ลิเวอร์พูล ในการเข้ามาปรับปรุงแก้ไข ขันเกมรับให้แน่น เพื่อให้เพื่อนร่วมทีมสามารถทำเกมรุกได้โดยไม่ต้องมาคอยกังวลเวลาโดนการสวนกลับของทีมคู่แข่ง พร้อมทั้งยังยกระดับทีมให้สามารถขึ้นมาต่อกรกับแชมป์เก่าอย่างสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อท้าชิงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีก

                นอกจากรูปแบบการเล่นที่มีความครบเครื่องในด้านความเร็ว การเล่นลูกกลางอากาศ ความนิ่ง และการยืนตำแหน่ง
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ยังถือเป็นกองหลังที่สามารถจ่ายบอลจากแดนหลังได้อย่างแม่นยำ และคอยสนับสนุนคู่หูในแนวรับของตัวเองได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่ามีความสามารถแทบทุกอย่างที่กองหลังควรจะมีอยู่ในตัวเขาเพียงผู้เดียว

                จากสถิติต่อเกมจะพบว่า ฟาน ไดค์ ชนะการดวลกลางอากาศเฉลี่ยถึง 4.7 ครั้ง และมีสถิติการจ่ายบอลยาวจากแดนหลังสูงถึง 5.7 ครั้งต่อเกม ยิ่งไปกว่านั้น จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของปราการหลังชาวดัตช์รายนี้คือ การเคลียร์บอลอันตรายที่อาจก่อให้เกิดปัญหาภายหลัง โดยพบว่ามีสถิติการเคลียร์บอลอันตรายสูงถึง 5.3 ครั้งต่อเกม และทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้น อยู่ภายใต้เงื่อนไขการทำฟาวล์ที่เจ้าตัวทำไปเพียง 0.4 ครั้งต่อเกมเท่านั้น

                เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของ ลิเวอร์พูล ได้เคยกล่าวถึงความยอดเยี่ยมของลูกทีมรายนี้ว่า “เขาอายุยังไม่มาก แต่กลับมีวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ สมรรถภาพร่างกายและความแข็งแรงทุกอย่างดีเยี่ยม คุณสามารถถ่ายทอดเรื่องราวเป็นหนังสือ เพื่อบรรยายถึงความสามารถของเขา ทักษะและความแข็งแกร่งที่เขามี รวมถึงเรื่องที่เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแค่ไหนได้ไม่รู้จบ”

                ทำให้ไม่น่าแปลกใจ ที่จากผลโหวตโดยแฟนบอลกว่า 18,000 คน โหวตให้ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ สมควรที่จะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018/2019 สูงถึง 81% รวมถึงสื่อมวลชน และนักวิเคราะห์ต่างให้ความเห็นว่า นี่คือตัวเต็งอันดับหนึ่งอย่างไม่มีข้อกังขาแน่นอน

จับตามอง เหล่าเด็กนรกสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดในปี 2000

คลื่นลูกเก่าถูกพัดพาไป คลื่นลูกใหม่ก็ต้องเกิดขึ้น เมื่อนักเตะที่เราคุ้นเคยต่างค่อย ๆ โรยรา ทยอยกันยุติอาชีพการค้าแข้งหรือย้ายออกจากลีกใหญ่ของทางฝั่งยุโรป ก็ต้องมีนักเตะหน้าใหม่เกิดขึ้นมาในทุก ๆ ปี และนี่ก็ใกล้เข้ามาอีกขั้น สำหรับยุคสมัยใหม่ของเหล่านักฟุตบอลที่เกิดหลังปี 2000 ที่จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ปรับให้โลกฟุตบอลมีความทันสมัยมากขึ้น

                แล้วดาวรุ่งคนไหนที่เราควรจับตามองเป็นพิเศษ ?

                จาดอน ซานโช่ ดาวรุ่งชาวอังกฤษ ผู้กล้าก้าวข้ามกรอบความคิดเดิม ๆ ของเหล่าดาวรุ่งส่วนใหญ่ในอังกฤษ ที่มักจะเลือกอยู่กับสโมสรภายในประเทศ โดยอำลาสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปพิสูจน์ตัวเองกับสโมสรใหญ่ที่อยู่ในลีกสูงสุดของเยอรมันอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของทาง ดอร์ทมุนด์ ทันที โดยหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ได้สร้างชื่อใน ศึกดาร์บี้แมตช์ ที่พบกับสโมสร ชาลเก้ 04 เมื่อซัดไป 2 ประตู 2 แอสซิสต์ พร้อมทั้งทำลายสถิตินักฟุตบอลชาวอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน

                วินิซิอุส จูเนียร์ ดาวรุ่งพุ่งแรงดวงใหม่ที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดแห่งวงการฟุตบอลบราซิล และเป็นความหวังใหม่ของทางสโมสร เรอัล มาดริด ภายหลังการเสีย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ด้วยผลงานการเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยม ควบตำแหน่ง
ดาวซัลโวของทีมชาติบราซิลในรายการชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้ ชุดยู -17 ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ทางเรอัล มาดริด ทุ่มเงินฉีกสัญญามูลค่า 45 ล้านยูโร เซ็นสัญญาล่วงหน้ากับสโมสรต้นสังกัดอย่าง ฟลาเมงโก้ ตั้งแต่วัยเพียง 16 ปี และปัจจุบันถือเป็นแกนหลักสำคัญในการสร้างทีมยุคใหม่ของ ราชันชุดขาว เรอัลมาดริด

                คัลลั่ม ฮัดสันโอดอย แนวรุกตัวหลักของทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ยู-17 และปีกดาวรุ่งที่สามารถทะลุขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรอย่าง สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ด้วยความสามารถที่เหลือล้น ทำให้ทางสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ถึงกับแสดงความสนใจติดต่อขอซื้อด้วยมูลค่า 20 ล้านปอนด์ แต่ทางสโมสรเชลซีได้ปฏิเสธไปเพราะต้องการเก็บไว้ใช้เป็นกำลังสำคัญในอนาคต นอกจากนี้ แฟนบอล เชลซี ถึงกับร้องเพลงพร้อมชูเสื้อให้กับเจ้าตัว เพื่อแสดงความรักที่มีต่อดาวรุ่งรายนี้

                และนอกเหนือจากที่กล่าวมา ยังมีดาวรุ่งอีกมากมายที่ถูกพูดถึงอย่าง อังเคล โกเมส และเจมส์ การ์เนอร์ ดาวรุ่งแห่งฝั่งสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไรอัน เซสเซยง จากสโมสรฟูแล่ม ฟิล โฟเด้น จากสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือจะเป็นฝั่งเยอรมันที่ทาง บาเยิร์น มิวนิค พึ่งประกาศคว้าตัวกองหน้าดาวรุ่งที่ถือเป็นความหวังใหม่ของชาวเยอรมันอย่าง
ยานน์-ฟีเต้ อาร์ป นี่จึงถือเป็นสัญญาณการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยใหม่ และเชื่อว่าในเวลาอีกไม่นาน จะมีเหล่านักเตะรุ่นใหม่อีกมากมาย ที่พร้อมก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดในเวทีระดับโลก และมาเป็นฟันเฟื่องสำคัญในการขับเคลื่อนโลกฟุตบอลในอนาคต

เจมี่ วาร์ดี้ จอมสังหารทีมใหญ่

พรีเมียร์ลีกถือเป็นลีกที่มีความแข็งแกร่งมาก แนวรับระดับโลกมากระจุกกันอยู่ในลีกนี้มากขึ้นทุกปี แต่นั่นไม่ได้ทำให้ “เจมี่ วาร์ดี้” กองหน้าสัญชาติอังกฤษ ผู้ที่เรื่องราวมหัศจรรย์ของเขาถูกเล่าขานควบคู่กับตำนานแชมป์ของเลสเตอร์ ซิตี้เกรงกลัวประการใดเลย เขายังคงเดินหน้ายิงประตูทีมยักษ์อย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่ขึ้นศตวรรษที่ 21 จนถึงราว 5 ฤดูกาลก่อน ศึกพรีเมียร์ลีกของอังกฤษได้แบ่งแยกทีมระดับท็อป 4 ทีมออกจากทีมอื่น โดยเรียกทีมเหล่านี้ว่าบิ๊กโฟร์ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูลและเชลซี แต่หลังจากการเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของชีค มานซูร์ในปี 2008 หน้าตาของบิ๊กทีมในพรีเมียร์ลีกก็เปลี่ยนไปกลายเป็นว่าเรือใบสีฟ้าเข้ามาเอี่ยวลุ้นแชมป์ทุกฤดูกาลกับเขาอีกทีม เท่านั้นยังไม่พอ ในฤดูกาลที่เลสเตอร์ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ สเปอร์ก็เป็นอีกทีมที่ก้าวข้ามระดับของตัวเองขึ้นมา และยืนหยัดอยู่ต่อจนถึงปัจจุบันได้อย่างน่ากลัว จนตอนนี้บิ๊กทีมพรีเมียร์ลีก เปลี่ยนจากบิ๊กโฟร์กลายเป็นบิ๊กซิกส์เรียบร้อย

ขณะที่กองหน้าคนอื่นไปไม่เป็น แต่วาร์ดี้กลับยิงเหล่าทีมชั้นนำพวกนี้อย่างสนุกเท้า นัดล่าสุดที่เขาช่วยให้เลสเตอร์ชนะเชลซีเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ฤดูกาลที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ได้ กลายเป็นประตูที่ 13 จาก 15 เกมที่ลงเจอบรรดาทีมบิ๊กซิกส์ และทำให้ประตูรวมในการเจอกับทีมที่ว่ามานี้เพิ่มเป็น 28 ลูก

นับตั้งแต่นักเตะโนเนมคนนี้ย่างเท้าก้าวเข้ามาเป็นกองหน้าของเลสเตอร์ ซิตี้ในสมัยเล่นแชมเปี้ยนชิพ เขาสามารถยิงได้เป็นกอบเป็นกำ แต่คนก็สงสัยกันว่าในระดับพรีเมียร์ลีกเขาจะยิงได้หรือเปล่า ปรากฏว่าในปี 2014 วาร์ดี้ลุกจากม้านั่งสำรองมายิงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเกมที่จิ้งจอกชนะ 5-3 แม้จะเป็นฤดูกาลที่ต้องดิ้นรนหนีตกชั้น แต่วาร์ดี้ก็มีส่วนช่วยให้ทีมอยู่รอดมาสร้างปาฏิหาริย์แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลต่อมา ซึ่งเขาเดินหน้ายิงบรรดาทีมใหญ่อย่างต่อเนื่อง

อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษทำประตูให้เลสเตอร์ไป 95 ลูกจาก 250 เกม ในจำนวนนี้เป็นการยิงในพรีเมียร์ลีก 68 ลูก ซึ่ง 28 ประตูเป็นการยิงทีมบิ๊กซิกส์ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงถึง 41.6% ไม่มีนักเตะนอกบิ๊กทีมเหล่านี้คนไหนจะยิงได้มากเท่าเขาอีกแล้ว เพราะผู้เล่นที่จะยิงท็อปทีมเหล่านี้ได้ส่วนใหญ่ก็มาจากทีมของพวกเขาเอง ซาดิโอ มาเน่คือผู้เล่นลิเวอร์พูลที่มีสถิติยิงทีมในบิ๊กซิกส์ใกล้เคียงวาร์ดี้มากที่สุดที่ 37% (รวมสมัยอยู่เซาท์แธมตัน)

วาร์ดี้เป็นกองหน้าที่ทำตัวเหมือนการยิงทีมใหญ่เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เวลาเล่นกับทีมเล็กหรือระดับเดียวกันบางทีก็ไม่ยอมยิงประตูเสียอย่างนั้น เรื่องนี้อาจจะวิเคราะห์ไม่ยากจากแผนการเล่น ทีมใหญ่เหล่านี้มักดันแนวรับขึ้นสูงในการเจอกับเลสเตอร์ ทำให้วาร์ดี้สามารถใช้ความเร็วและความคล่องตัวหลุดไปทำประตูได้บ่อยครั้ง มันเป็นความสามารถพิเศษในการหาที่ว่างระหว่างคู่กองหลังและพุ่งไปที่ตรงนั้นของวาร์ดี้

ฤดูกาลนี้ของเจมี่ วาร์ดี้เพิ่งทำประตูได้เพียง 6 ลูก แต่สองในนั้นเป็นการยิงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตั้งแต่นัดเปิดสนามและล่าสุดกับการยิงเชลซี ถ้าไม่เรียกว่าเขาถูกโฉลกกับการยิงทีมใหญ่เป็นพิเศษก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

เอเชี่ยนเกมส์เรียกหา ได้เวลาไก่ขาดซง เฮือง มินอีกครั้ง

ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์กำลังขับเคี่ยวตามสองทีมนำในตารางพรีเมียร์ลีก แม้เมาริซิโอ พอเช็ตติโน่จะเลี่ยงพูดว่าทีมของเขาคือหนึ่งในแคนดิเดตที่ขอร่วมลุ้นแย่งแชมป์ แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสเปอร์รู้ดีว่าพวกเขามีลุ้น เว้นแต่ว่าพวกเขาจะรับมือกับการขาดหายไปของนักเตะคนสำคัญอย่างซง เฮือง มิน รอบที่สองได้

ซง เฮือง มิน กองหน้าสัญชาติเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในสามตัวจริงตลอด 3 เดือนหลังของสโมสรตราไก่แห่งกรุงลอนดอน เคียงข้างไปกับแฮร์รี่ เคนและฮูโก้ ยอริส ขณะที่ผู้เล่นคนอื่นได้หมุนเวียนกันลงเล่นและพัก นั่นแปลว่าเฮือง มินมีความสำคัญและจำเป็นต่อระบบการเล่นของสเปอร์มากขนาดไหน

ช่วงสิงหาคมต่อกันยายน หมายถึงมีเพียงนัดเปิดฤดูกาล 2018/2019 เท่านั้นที่ซง เฮือง มินสามารถลงเล่นให้สโมสรได้ก่อนที่จะต้องบินมาร่วมทัพโสมขาวในเอเชี่ยนเกมส์ รายการที่ขีดชะตาระหว่างนักฟุตบอลอาชีพหรือทหารเกณฑ์ 2 ปีของดาวเตะเกาหลีใต้รายนี้ ภารกิจซึ่งซงทำสำเร็จด้วยการคว้าเหรียญทอง และรีบตรงดิ่งกลับไปช่วยสโมสรหลังพลาดไป 3 นัด ระหว่างนั้นสเปอร์มีผลงานชนะ 2 แพ้ 1 และในเกมแรกที่ซงลงช่วยทีมในฐานะตัวสำรองก็เป็นเกมพ่ายลิเวอร์พูล 1-2 ตอนกลางเดือนกันยายน หลังจากเกมนั้นเขาก็ลงเล่นให้ทีม 21 เกม ทำประตูในลีกไป 5 ลูกและ 4 แอสซิสต์ ลงครบ 6 เกมในแชมเปี้ยนลีก และสามนัดสามประตูในลีก คัพ กลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญทั้งการผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ 16 ทีมในถ้วยยุโรป พาทีมผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศลีกคัพที่ต้องไปพบเชลซี และการพาทีมยึดอันดับสามของตารางพรีเมียร์ลีกด้วยการมีคะแนนตามหลังลิเวอร์พูล 6 แต้มและแมนเชสเตอร์ ซิตี้แค่ 2 แต้ม

แต่ว่า 7 มกราคม 2019 เกาหลีใต้มีเกมนัดแรก รอบแบ่งกลุ่มของศึกเอเชี่ยน คัพ และซง เฮือง มินคือผู้เล่นตัวความหวังของคนทั้งชาติเหมือนครั้งที่เขาได้พาทีมคว้าเหรียญทองฟุตบอลชายที่อินโดนีเซีย ยังดีที่สเปอร์-ซง-สมาคมฟุตบอลเกาหลีใต้ทำความตกลงกันไว้ว่า สโมสรเมืองผู้ดีจะปล่อยตัวดาวเตะเกาหลีใต้ไปช่วยทำศึกหลังจบเกมในวันที่ 13 มกราคมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเสียก่อน เพราะตอนเอเชี่ยนเกมส์ทีมยอมเสียสละให้ซง เฮือง มินไปร่วมทัพมาแล้วหนึ่งครั้ง เท่ากับว่าซงจะลงเล่นทีมชาติในเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มพบทีมชาติจีน และถ้าเกาหลีใต้เล่นได้ดีเยี่ยมจนสามารถเข้าชิงชนะเลิศได้ เกมนัดชิงจะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งสเปอร์จะสูญเสียแข้งคนสำคัญมากถึง 4 เกม ประกอบด้วยการเจอฟูแล่ม วัตฟอร์ด และอาจรวมถึงนิวคาสเซิ่ลในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ และอีกหนึ่งนัดสำคัญคือลีก คัพรอบรองชนะเลิศ เลกสอง

ก็น่าสงสารเมาริซิโอ พอเช็ตติโน่ ผู้จัดการทีมสเปอร์เหมือนกัน ที่ฤดูกาลนี้นอกจากจะไม่ได้รับอนุญาตให้ถือเงินเดินไปจ่ายตลาดหาซื้อนักเตะตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์แล้ว ช่วงมกราคมก็ยังอาจจะหมดสิทธิ์ซื้อใครเพิ่มด้วย นักเตะที่เป็นกำลังสำคัญอย่างซง เฮือง มินก็ช่วยทีมได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะภารกิจช่วยชาติค้ำคอ

การขาดดาวยิงเกาหลีใต้ไปรอบแรก สเปอร์เล่น 4 เกม ชนะ 2 แพ้ 2 สภาพทีมแกว่งไปถึงขนาดโดนมองว่าไม่น่าจะมีลุ้นแชมป์ แค่ประคองตัวให้ไปโควต้าแชมเปี้ยนลีกก็ยากแล้ว แต่พอซงกลับมาทีมทะยานเหมือนขึ้นจรวดทุกรายการ กำลังจะฝันหวานถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกก็มีเหตุให้เสียซง เฮือง มินอีกแล้ว คราวนี้ถ้าผลงานออกมาแย่ อาจจะถึงขั้นหมดลุ้นสองถ้วยพร้อมกันเลยก็ได้

โม ซาลาห์ ราชาแห่งอียิปต์ผู้ทำลายกฏเล่นดีซีซั่นเดียวของแข้งอียิปต์

ฤดูกาลที่แล้วในพรีเมียร์ลีกของโมฮาเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าของลิเวอร์พูลจบลงแบบน่าเหลือเชื่อ ผลงานการยิงประตูทำลายสถิติจากสถิติหนึ่งไปอีกสถิติหนึ่ง ตลอดทั้งซีซั่น ทำให้เขาได้รับรางวัลมากมายทั้งระดับสโมสร ระดับพรีเมียร์ลีกและระดับทวีป แต่มันมาพร้อมข้อสงสัยว่าเขาจะรักษาความร้อนแรงเหมือนฤดูกาลที่แล้วได้แค่ไหน?

ต้นฤดูกาล 2018/2019 โมฮาเหม็ด ซาลาห์กลับมาแบบคนยังไม่หายบาดเจ็บ เขาและสามประสานแดนหน้าของลิเวอร์พูลทำผลงานได้ไม่ร้อนแรงเหมือนเดิมเมื่อทีมให้ความสำคัญกับเกมรับเป็นพื้นฐาน การสร้างสรรค์เกมรุกเกิดขึ้นหลังจากกองหลังแน่นก่อน มันดูเหมือนโม ซาลาห์ฟอร์มดร็อปลง แต่ที่จริงสถิติในการยิงประตูของฤดูกาล 2017/2018 ช่วงต้นเขาก็ยิงไม่ค่อยได้เหมือนอย่างต้นซีซั่นนี้นั่นแหละ

เหตุผลส่วนหนึ่งที่โมฮาเหม็ด ซาลาห์ถูกสบประมาทว่าจะเป็นพวกทำดีซีซั่นเดียว ก็เพราะบรรดาแข้งรุ่นพี่ร่วมเชื้อชาติเคยทำดีแค่ซีซั่นเดียวไว้เป็นรอยบาป

ในฤดูกาล 2005/2006 อาเหม็ด ฮอสซัม มิโด้ถูกมาร์ติน โยล ผู้จัดการทีมสเปอร์ดึงตัวจากโรม่ามาเล่นที่ไวท์ ฮาร์ตเลน ผลงานจองมิโด้ทั้งฤดูกาลสวยหรูไม่น้อย เมื่อเขาลงเล่นไป 36 เกมและยิงให้สเปอร์ไป 13 ลูก เป็นรองดาวซัลโวของสโมสร พบจบฤดูกาลสเปอร์ประทับใจมากเสียจนต้องขอซื้อขาดในราคา 6.75 ล้านปอนด์ ตอนที่กลับมาชูเสื้อที่สโมสรอีกครั้งมิโด้ให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะยิงให้มากกว่าเดิมอีก แต่ปรากฏว่าการลงเล่น 12 เกมทั้งฤดูกาล มิโด้มีประตูที่ยิงได้เพียง 1 ลูกเท่านั้น

สเปอร์พร้อมขายขาดทุนที่ราคา 6 ล้านปอนด์ มีเบอร์มิงแฮม, ซันเดอร์แลนด์และมิดเดิ้ลสโบรห์ที่อยากได้ สิงห์แดงแห่งอีสานเป็นทีมที่คุยสัญญาส่วนตัวกับดาวเตะอียิปต์ได้ ทว่าในการเล่นให้มิดเดิ้ลสโบรห์ก็ออกมาแย่ 25 นัดกับผลงาน 6 ประตู ในฤดูกาล 2007/2008 และช่วงแรกของฤดูกาล 2008/2009 ทำให้สโมสรต้องหากองหน้ารายอื่นและปล่อยมิโด้ให้วีแกนยืม ตามด้วยซามาเล็กทีมเก่าของเขาในอียิปต์ และเวสต์แฮมก็ยืมต่อมาลองใช้งาน ก่อนปิดท้ายด้วยอาแจ็กซ์อีกสโมสรเก่าของเขา ปรากฏว่าการเล่นให้ทั้ง 4 สโมสรที่ว่า มิโด้ยิงประตูรวม 5 ลูกจากเวลาลงสนาม 2 ปี และไม่เคยกลับมายิงได้เยอะอีกเลยจนแขวนสตั๊ดไปแบบเงียบ ๆ

ในปี 2007/2008 ที่มิโด้ฟอร์มตกกับการเล่นให้มิดเดิ้ลสโบรห์ ชื่อเสียงของอามีร์ ซากี้ กองหน้าของซามาเล็กเข้าหูเข้าตาวีแกน ทำให้พวกเขาไม่รอช้าที่จะดึงซากี้มาเล่นที่อังกฤษด้วยสัญญายืมตัว ผลงาน 29 นัดกับ 10 ประตูไม่ถือว่าแย่เพราะเคยขึ้นไปเบียดลุ้นดาวซัลโวแข่งกับนิโคล่า อเนลก้ากับโรบินโญ่มาแล้ว ทว่าหลังเกมรับใช้ทีมชาติอียิปต์ในคัดเลือกฟุตบอลโลก ซากี้ไม่ยอมกลับไปรายงานตัวที่วีแกนทำให้สตีฟ บรูซโมโหมากะตัดเขาออกจากทีม หลังจากระหกระเหินเล่นให้ฮัลล์ซิตี้ และอีกหลายทีมในคูเวต เลบานอน โมร็อกโกและอีบิปต์ ระหว่างปี 2010-2015 ซากี้แทบไม่ได้ลงเล่นเลย โดยมีเกมทางการแค่ 25 เกมกับผลงานจุ๋มจิ๋ม 3 ประตู

ทุกครั้งที่มีการพูดถึงนักเตะสุดฮอตฤดูกาลเดียวของพรีเมียร์ลีก จะต้องมีชื่อของสองคนนี้ติดมาเสมอ นั่นทำให้หลายคนคิดว่าโมฮาเหม็ด ซาลาห์ก็คงไม่แคล้วทำนองเดียวกัน แต่นั่นคือการคาดเดาผิด เพราะซาลาห์ค่อย ๆ คืนฟอร์มเพชรฆาตกลับมาอย่างช้า ๆ แม้จะถูกประกบติดหนักกว่าเดิม

เหตุผลส่วนหนึ่งที่ซาลาห์เรียกคืนความน่ากลัวกลับมาได้ เป็นเพราะแนวทางการเล่นของทีมชัดเจน ที่สำคัญฤดกาลนี้ซาลาห์ลงเล่นในตำแหน่งที่หมุนเวียนกันเป็นวงกลมของสามประสานฤดูกาลที่แล้ว ไม่ได้อยู่ทางด้านกว้างหรือปีกเหมือนเก่า หากแต่หลายเกมยังมายืนเป็นหน้าเป้าด้วยซ้ำ นั่นแปลว่าเขาไม่ได้เก่งน้อยลงแต่เก่งขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

เปเล่ ยอดนักเตะในตำนานของโลก ที่ใคร ๆ ต่างก็ลืมไม่ลง

ใครที่เป็นสาวกของเกมกีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอลต่างก็มีนักฟุตบอลในดวงใจด้วยกันอย่างแน่นอน และนักฟุตบอลในดวงใจเหล่านั้นจะต้องมีฝีเท้าที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นยอดเยี่ยมมากพอที่จะทำให้เพื่อน ๆ นับถือพวกเขาเหล่านั้นเป็นนักเตะในดวงใจ

Continue reading