Category Archives: ฟุตบอลต่างประเทศ

เมื่อมหากาพย์ อาซาร์ มาดริด กลับมาอีกครั้ง

ภายหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่ทางสโมสร เรอัล มาดริด ประกาศการแต่งตั้ง ซีเนดีน ซีดาน กลับมานำทัพเหล่านักเตะราชัน ชุดขาว อีกครั้ง เริ่มมีกระแสที่สื่อสเปนหลายสำนักต่างรายงานตรงกันถึงเงื่อนไขที่ทาง ซีดาน ตั้งไว้กับฝ่ายบริหารว่า จะต้องเดินหน้าเซ็นสัญญานักเตะที่เขาต้องการอันดับหนึ่งมาโดยตลอดอย่าง เอแด็น อาซาร์ ให้ได้ จนกลายมาเป็นการจุดกระแสให้แฟนบอลพูดถึงข่าวการซื้อขายระหว่าง เรอัล มาดริด ที่ต้องการกระชาก อาซาร์ มาจากอ้อมอกสโมสร เชลซี หลังจากที่เป็นข่าวกันมาเนิ่นนานอีกครั้ง

นอกจากนี้ยังถูกสุมไฟให้กระแสข่าวมีความร้อนแรงยิ่งขึ้นจากประโยคที่ดาวเตะเชลซีให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงคำถามที่ว่า ถ้าให้เลือกระหว่าง โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือทีมชาติเบลเยียม หรือ ซีดาน คุณอยากได้ใครเป็นผู้จัดการทีมมากกว่ากัน โดย อาซาร์ ได้กล่าวว่า “ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ เราไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้ แต่ผมนับถือซีดานเป็นพิเศษ เขาเป็นต้นแบบของผม และทำให้ผมเริ่มหันมาเล่นฟุตบอล”

                โดยทางสื่อสำนักดังของทางสเปน ได้จัดการสำรวจแฟนบอลของ เรอัล มาดริด ว่า ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทางสโมสรซื้อใครเข้ามาเป็นรายแรกในตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์นี้ ผลปรากฏว่าแฟนบอลสโมสรกว่าครึ่งโหวตให้ เอแด็น อาซาร์ มาเป็นอันดับหนึ่งที่ต้องการได้มาร่วมทัพในช่วงตลาดซื้อขายรอบที่จะถึงนี้ โดยคะแนนออกมาแซงหน้า เนย์มาร์ ดาวเตะชาวบราซิลอย่างขาดลอย

                แล้วเหตุใด ซีเนดีน ซีดาน และเหล่าแฟนบอล เรอัล มาดริด ถึงต้องการตัวนักเตะรายนี้

                จากการรวบรวมสถิติตลอดการลงเล่นให้กับสโมสรเชลซีในฤดูกาล 2018/2019 จะพบว่า เอแด็น อาซาร์ มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูที่ทางสโมสรทำได้เฉลี่ยสูงถึง 0.9 ประตูต่อเกม สร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมเฉลี่ยต่อเกม 2.6 ครั้ง และมีสถิติการเลี้ยงผ่านคู่แข่งมากถึง 3.2 ครั้งต่อเกม ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ดาวเตะชาวเบลเยียมรายนี้เป็นส่วนสำคัญในเกมรุกของทางสโมสร เชลซี อย่างมาก

                ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับเหล่าแนวรุกปัจจุบันที่อยู่กับสโมสร เรอัล มาดริด มาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็น แกเร็ธ เบล หรือ คาริม เบนเซม่า ก็ไม่มีใครที่มีสถิติการมีส่วนร่วมในเกมรุกได้มากเท่ากับ อาซาร์ โดย แกเร็ธ เบล และ คาริม เบนเซม่า นั้น มีสถิติการมีส่วนรวมกับประตูต่อเกมอยู่ที่ 0.5 และ 0.6 ตามลำดับ ขณะที่สถิติด้านการสร้างสรรค์โอกาส มีสถิติต่อเกมอยู่ที่ 0.7 ครั้ง และ 1.5 ครั้งตามลำดับ และสามารถเลี้ยงผ่านคู่แข่งต่อเกมได้เพียง 0.8 และ 1.1 ครั้งตามลำดับเท่านั้น

                ก็ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมผู้จัดการทีมและเหล่าสาวกของสโมสร เรอัล มาดริด ถึงอยากที่จะให้สโมสรคว้าตัว อาซาร์ มาร่วมทีม เพราะภายหลังการสูญเสียสุดยอดผู้เล่นในแนวรุกอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปให้กับทาง ยูเวนตุส สโมสรก็ไม่สามารถหาคนที่มาทดแทนประสิทธิภาพในเกมรุกที่ขาดหายไปได้อีกเลย ดังนั้น เอแด็น อาซาร์ จึงเปรียบเสมือนแสงสว่างที่จะเข้ามานำพาสโมสร กลับไปครองความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ชายผู้ปลุกจิตวิญญาณยูไนเต็ด

นับตั้งแต่ที่ทางสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประกาศปลด โชเซ่ มูรินโญ่ และประกาศแต่งตั้ง
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตตำนานกองหน้าของสโมสร เข้ามารับตำแหน่งการเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว บรรยากาศในสโมสรก็ได้แปรเปลี่ยนไป ผลงานดีขึ้นผิดหูผิดตา สไตล์การเล่น ความมุ่งมั่นทุ่มเท ล้วนแล้วแต่ทำให้เหล่าแฟนบอลตื่นตาตื่นใจ และมองว่า นี่คือการกลับมาของ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง

                จากบทสัมภาษณ์อันหลากหลาย ที่สื่อต่างตั้งคำถามกับทางนักเตะของสโมสรว่า โซลชา ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในสโมสร เหล่านักเตะต่างตอบไปในทำนองเดียวกันว่า โซลชา รู้ความหมายของสโมรสรแห่งนี้เป็นอย่างดี และเขาต้องการถ่ายทอดให้เหล่านักเตะได้เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ สิ่งแรกที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้บอกกับพวกเขาในวินาทีที่เข้ามาคุมทีม คือ “พวกคุณต้องแสดงให้เหล่าแฟนบอลเห็นว่า เราคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ”

                ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายดาวรุ่งของทีมได้กล่าวว่า “ผู้จัดการรู้ว่าจะเค้นความสามารถของเหล่านักเตะในทีมออกมาอย่างไร หากใครที่มีปัญหา หรือไม่สามารถเล่นได้ในระดับที่วางไว้ นักเตะสามารถที่จะเดินเข้าไปหาเขาได้ทันที เพื่อที่จะขอคำปรึกษา และหาข้อแก้ไขจุดบกพร่องอย่างตรงไปตรงมา”

                นอกจากการปรับแก้ไขปัญหาผลงานในสนามหรือภายในห้องแต่งตัวแล้ว อิทธิพลจากการที่ทางสโมสรแต่งตั้ง
โซลชา เข้ามารับตำแหน่ง ได้สร้างบรรยากาศที่ดีให้กับภายในสโมสร โดย มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“นับตั้งแต่ที่ โอเล่ ได้เข้ามา เกิดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างภายในสโมสรมากมาย ไม่ใช่แค่เหล่าพวกเรานักเตะเท่านั้น แม้กระทั่งพนักงานออฟฟิศที่อยู่กับพวกเรามาหลายปียังรู้สึกเลยว่า สโมสรมีบรรยากาศที่ดีขึ้น ผู้จัดการทีมได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเรา ว่าพวกเรายังสามารถพัฒนาศักยภาพไปได้อีกมาก และมันได้สร้างความมั่นใจให้กับพวกเราได้มากจริง ๆ ”

                ด้วยสไตล์การเล่นที่กลับไปเน้นเกมบุกสวนกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมั่นใจในศักยภาพของดาวรุ่งสโมสร อีกทั้งการให้สัมภาษณ์สื่อ ที่มักจะให้สัมภาษณ์ในเชิงบวกแล้วเก็บปัญหาที่มีไว้จัดการกันเองภายใน และปลูกฝังทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ให้แก่เหล่านักเตะ ทำให้บรรดาเหล่าตำนานรุ่นพี่ที่เคยสังกัดกับทางสโมสร ต่างยกย่องเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ โซลชา ทำ คือการนำเอาวิธีการบริหารทีมของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาปรับใช้ และปลุกจิตวิญญาณความเป็น ยูไนเต็ด กลับขึ้นมาอีกครั้ง

                เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่า ทำไม สื่อ นักวิจารณ์ และแฟนบอล ถึงมองว่า นับตั้งแต่ปี 2013 ที่ตำนานกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้วางมือไป นี่คือ ยูไนเต็ด ที่มีสไตล์การเล่น และบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับเมื่อครั้งอดีตมากที่สุด และเป็นเหตุผลที่ทำไม เหล่าแฟนบอลของสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างลงความเห็นว่าอยากให้
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างถาวรต่อไปในระยะยาว

เหล่าผู้กุมชะตา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย

ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นรายการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในระดับสโมสร แต่ละทีมต่างหมายมั่นปั้นมือที่จะคว้าแชมป์มาครองให้ได้ในท้ายที่สุด โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า เหล่านักเตะคนสำคัญของแต่ละทีมนั้น อาจเป็นจุดสำคัญต่อการชี้วัดถึงผลการแข่งขัน ที่จะพาทีมผ่านเข้าไปสู่รอบต่อไป

                แฮร์รี่ เคน หัวหอกตัวเก่งของทางสโมสร ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในกองหน้าที่มีความสามารถเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมีส่วนรวมในการทำประตูให้สโมสรเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 0.84 ประตู ถือเป็นหนึ่งในนักเตะคนสำคัญที่ทางสโมสรขาดไม่ได้ในเวลานี้

                เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังซึ่งถือเป็นแกนหลักที่พาสโมสร ลิเวอร์พูล ถือครองสถิติการเสียประตูน้อยที่สุด และมีสถิติการพาทีมเก็บคลีนชีตได้มากที่สุดในลีกอังกฤษ นอกเหนือจากนี้ ยังเป็นตัวเต็งที่ทางสื่อ นักวิจารณ์ รวมถึงแฟนบอลมองว่า มีสิทธิ์ที่จะได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษประจำฤดูกาล 2018/2019

                คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สุดยอดนักเตะที่การันตีความสามารถด้วยรางวัล บัลลง ดอร์ 5 สมัย ที่หลังพาสโมสร
เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปครองสามสมัยซ้อน ได้ย้ายทีมไปอยู่กับสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลี อย่าง
ยูเวนตุส และถึงแม้อายุจะเข้าสู่วัย 34 ปีแล้ว แต่ความร้อนแรงก็ไม่ได้ลดลงเลย โดยมีส่วนร่วมกับประตูของทางสโมสร
สูงถึง 1.1 ประตูต่อเกม

                ฮาคิม ซีเยค ดาวเตะของทางสโมสร อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ผู้เป็นฟันเฟืองสำคัญในเกมรุกให้กับสโมสร และมีส่วนอย่างมากในการพาทีมพลิกชนะ เรอัล มาดริด ผ่านเข้ารอบมาได้ โดยมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูเฉลี่ยถึง 1.1 ประตูต่อเกม และจ่ายลูกสร้างสรรค์โอกาสโดยเฉลี่ยต่อเกมสูงถึง 3.8 ครั้ง

                ปอล ป็อกบา กองกลางคนสำคัญที่ของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ภายหลังการแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดของยุโรป โดยถึงแม้จะเล่นเป็นกองกลาง แต่กลับมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูสูงถึง 0.7 ประตูต่อเกม

                ลิโอเนล เมสซี่ ดาวยิงพรสวรรค์ระดับต่างดาว ที่การันตีความสามารถด้วยรางวัล บัลลง ดอร์ 5 สมัย และถือหนึ่งใน
นักเตะที่ฟอร์มร้อนแรงมากที่สุดในฤดูกาล โดยในฤดูกาลนี้ เมสซี่ มีสถิติในการมีส่วนร่วมกับประตูที่ทางสโมสร บาร์เซโลน่า ทำได้สูงถึง 1.57 ประตูต่อเกม เลี้ยงผ่านคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 3.8 ครั้ง และสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนสูงถึง 3.1 ครั้งต่อเกม

                เซร์คิโอ อเกวโร่ สุดยอดหัวหอกของทางสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผู้กวาดความสำเร็จมาแล้วมากมายให้กับสโมสร และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทาง ซิตี้ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในทีมเต็งที่จะได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก โดยฤดูกาลนี้มีส่วนร่วมกับประตูที่สโมสรทำได้เฉลี่ย 1 ประตูต่อเกมเลยทีเดียว

                เอแดร์ มิลิเตา ปราการหลังวัย 21 ปีของสโมสร ปอร์โต้ ที่ปัจจุบันทางสโมสร เรอัล มาดริด ได้เซ็นสัญญาล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อย โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การเคลียร์บอลอันตรายสูงถึง 3.1 ครั้งต่อเกม แย่งบอลจากคู่แข่ง 2.3 ครั้งต่อเกม และดวลชนะลูกกลางอากาศต่อเกมเฉลี่ยสูงถึง 4 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่า นี่คือหนึ่งในกองหลังดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดรายหนึ่งของวงการฟุตบอล

                ไม่รู้ว่าผลสุดท้าย ทีมไหนจะคว้าชัยชนะและได้ผ่านเข้าไปสู่รอบต่อไป พร้อมทั้งคว้าแชมป์ได้ในท้ายที่สุด แต่เชื่อได้เลยว่า เหล่านักเตะที่ได้กล่าวมานี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะส่งผลต่อเกมการแข่งขันศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ครั้งนี้อย่างแน่นอน

ผู้อำนวยการฟุตบอล ตำแหน่งหัวใจที่แมนยูไนเต็ดไม่มี

เปรียบสโมสรฟุตบอลเป็นเรือเดินทะเล เรือแต่ละลำต้องมีหางเสือในการกำหนดทิศทาง แต่การบังคับเรือให้ไปตามทิศทางที่หางเสือกำหนดเป็นงานของกัปตัน หางเสือไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหน้าของลำเรือได้ กัปตันต่างหากที่เป็นคนมองเห็นและตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่กำลังเคลื่อนเข้าไปหา จะหลบหรือจะชนก็เป็นการตัดสินใจของกัปตัน เป้าหมายมีเพียงแค่รักษาทิศทางและไปให้ถึงปลายทาง

ทุกวันนี้การทำสโมสรฟุตบอลมีบุคคลหนึ่งตำแหน่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ตำแหน่งซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาตามรูปแบบของวงการกีฬาฝั่งอเมริกัน ผู้อำนวยการกีฬา (Sporting Director) หรือ ผู้อำนวยการฟุตบอล (Director of professional football) พวกเขาคือหางเสือที่จะกำหนดแนวทางที่สโมสรจะมุ่งหน้าไป หรือเป็นคนวางเป้าหมายของการทำงานในแต่ละปี และในระยะยาวของสโมสร ขณะที่ผู้จัดการทีมคือกัปตันของเรือที่ชื่อว่าสโมสรฟุตบอล

16 จาก 20 ทีมในศึกพรีเมียร์ลีกของอังกฤษมีบุคลากรที่ทำงานในตำแหน่งนี้ ส่วนสโมสรที่ไม่มีทั้ง 4 ทีมก็ได้แก่ ไบรท์ตัน คาร์ดิฟฟ์ เบิร์นลี่ย์และที่น่าประหลาดใจว่า ทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่มีคนทำหน้าที่นี้

มีคำถามที่น่าสนใจว่าทำไมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่มีคนทำหน้าที่นี้ ในขณะที่บรรดาคู่แข่งทั้งในอังกฤษและทั่วยุโรปต่างมีกันจะหมดอยู่แล้ว เรื่องนี้กลายเป็นจุดอ่อนในตัวสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเอง มันเกิดขึ้นจากความสำเร็จที่เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันได้ทำทิ้งไว้ เพราะยุคสมัยแห่งความสำเร็จของกุนซือชาวสก็อตแลนด์ เขาได้รับอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจเลือกแนวทางของสโมสร การเล่น การจัดการ รวมไปถึงการซื้อขายนักเตะ ทั้งหมดนี้เซอร์อเล็กมีส่วนสำคัญทั้งหมด เมื่อผู้ที่ทำหน้าที่ทุกอย่างวางมือลง สโมสรยังยึดติดกับสิ่งที่ถูกสร้างไว้ว่าเป็นมาตรฐาน ทำให้บทบาทของเซอร์อเล็กถูกส่งต่อมายังเดวิด มอยส์, หลุย ฟานกัล และโฆเช่ มูรินโญ่ แต่ทว่ามันมีเพียงหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้มีบารมีตามมาด้วย

บารมีของเซอร์อเล็กทำให้บอร์ดสโมสรไปจนถึงเจ้าของทีมต้องยอมลดระดับตัวเองลงมา รวมไปถึงอยู่ในสถานะป๋าว่าไง สโมสรว่างั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าเซอร์อเล็กจะไม่เคยเดินหมากพลาด หลายครั้งทั้งในการซื้อขายนักเตะผิดพลาดและการจัดการภายในทีมก็ไม่ลงตัว แต่ด้วยความที่สุดท้ายแล้วแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมักจบฤดูกาลด้วยการมีถ้วยรางวัลสำคัญ ๆ เสมอทำให้มันหักลบความล้มเหลวบางเรื่องที่ท่านเซอร์ทำลงไปได้

ตัดกลับมาที่สถานการณ์หลังจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดใช้งานสามกุนซือต่างสไตล์ ไล่ตั้งแต่เดวิด มอยส์จนถึงโฆเซ่ มูรินโญ่ สิ่งหนึ่งที่สโมสรสีแดงแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ไม่มี คือแนวทางที่สโมสรจะเล่น ตัวตนของสโมสรที่แฟนบอลสัมผัสได้ในยุคของเซอร์อเล็กหายไปจากสนาม พร้อมกับภาพแฟนบอลในโอลด์แทร็พฟอร์ดที่เว้าแหว่งเนื่องจากพวกเขาไม่ได้เล่นฟุตบอลเหมือนที่เซอร์อเล็กทำไว้ หากว่ามีใครสักคนที่เป็นผู้อำนวยการฟุตบอลของสโมสร เขาจะต้องสะกิดเตือนลงไปว่าตอนนี้ผู้จัดการทีมกำลังพานักเตะเล่นผิดไปจากแนวทาง และต้องพาทีมกลับมาเข้ามาในไลน์ที่ถูกต้อง

ผู้อำนวยการฟุตบอลไม่ใช่ของใหม่ในโลกลูกหนัง แต่เป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเองที่ล้าหลังกับการให้ความสำคัญเรื่องนี้ แน่นอนว่ามีคนมากมายที่สามารถเดินเข้ามาทำงานนี้ได้โดยการชูธงให้ผู้จัดการทีมเล่นตามธรรมชาติของสโมสรที่เฟอร์กูสันสร้างไว้ คล้าย ๆ ที่โอเล่ กุนนาร์ โซลชาทำในการไปเยือนคาร์ดิฟฟ์ นั่นคือการเล่นเกมบุก ก็แค่บุกจนกว่าจะชนะ และก็แค่บุกจนกว่าจะชนะขาดลอย

เมมฟิส เดอปาย เดอะแบกแห่งฮอลแลนด์

เนเธอร์แลนด์หรือฮอลแลนด์ เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องบ้านเมืองที่สวยงาม ดินแดนแห่งชีสดั้งเดิมของยุโรป ประเทศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เหนือไปกว่านั้น เป็นประเทศจุดเริ่มหัดตั้งไข่ให้กับของยอดแข้งระดับพระกาฬมาอย่างมากมาย ทัพ “อัศวินสีส้ม” ทีมฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์จึงไม่เคยขาดนักเตะฝีเท้าดี ทั้งยังเคยเป็นทีมที่น่าเกรงขาม มีนักเตะระดับโลก ได้รับการวางเป็นทีมเต็งแชมป์ในแทบทุกรายการที่ลงแข่งขันในระดับนานาชาติ

ใครจะคิดว่าวันหนึ่งทีมชาติฮอลแลนด์จะประสบปัญหาขาดแคลนนักเตะฝีเท้าดีจนห่างหายไปจากเวทีระดับนานาชาติหลายปี เป็นการขาดช่วงระหว่างที่นักเตะฝีเท้าดีเริ่มโรยรา นักเตะรุ่นใหม่เกิดไม่ทัน ไม่ก็ฝีเท้ายังไม่เข้าที่เข้าทาง ประกอบกับนักเตะในลีกมีอัตราส่วนเป็นชาวต่างชาติมากขึ้น โอกาสของแข้งสายเลือดเนเธอร์แลนด์แท้ๆจึงน้อยลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งศูนย์หน้า ที่ขึ้นชื่อลือชามาตลอดนำโดย โยฮัน ครัฟ พาทริค ไคล์เวิร์ต เดนิส เบิร์กแคมพ์ รุด ฟาน นิสเตอรอยด์ โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์ กลับกลายเป็นตำแหน่งที่ขาดแคลนอย่างยิ่ง บาส โดสท์ ศูนย์หน้าก้านยาว วินเซนต์ ยานเซ่น ศูนย์หน้าฟอร์มหลุด กลายเป็นแข้งหรูฤดูกาลเดียว ไม่สามารถผลิตสกอร์ให้ทีมชาติได้มากนัก ยิ่งยามต้องเจอกับทีมใหญ่สองคนนี้แทบไม่มีคุณูปการใด ๆ ในสนามเลย แม้แต่การขุดผี โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์ ขึ้นมาเล่นให้ทีมชาติผลงานก็ยังไม่กระเตื้อง

ทีมอัศวินสีส้มจึงต้องอาศัยปีกหรือกองกลางตัวรุกมาเล่นแทนในตำแหน่งดังกล่าวขัดตาทัพไปก่อนทั้ง ควินซี่ โปรเมส ทอนนี่ วิลเอน่า ไรอัน บาเบล แต่ก็ยังแก้อาการขัดลำกล้องไม่ได้ จนมาพบว่าการทดลองนี้ได้ผลก็เมื่อจับ เมมฟิส เดอปาย ลงเล่นเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า ปีกตัวล่ำถูกขับออกจากถิ่น โอล แทรฟฟอร์ด จึงไปชุบตัวกับ โอลิมปิค ลียง และทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ชนิดเป็นคนละคนกับตอนอยู่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดิมทีเดอปายเป็นนักเตะที่ดุดัน มีแพสชั่นมากอยู่แล้ว การได้เล่นเกมรุกเต็มตัวโดยไม่ต้องพะวงเกมรับจึงเหมาะกับเขาอย่างยิ่ง ในลียงเขามีเพื่อนวัยห้าวที่กระหายประตูเช่นกันอย่าง นาบิล เฟคีร์ เบอร์ทราน ตราโอเร่ แทงกาย เอ็นด็องเบเล่ เดอปายแอนด์โคจึงเป็นเหล่าคนหนุ่มที่ช่วยกันเพิ่มทักษะในการพังตาข่ายอย่างเมามัน

ยามรับใช้ทีมชาติ เมมฟิส เดอปาย รับบทกองหน้าได้อย่างเนียนตา ไม่ขาดตกบกพร่อง ซ้ำยังทำผลงานได้ดียิ่งกว่าผู้เล่นศูนย์หน้าขนานแท้หลาย ๆ คนเสียอีก ดังนั้น…คงไม่ผิดที่จะบอกว่า เขาพร้อมแล้วกับการแบกทีมชาติเนเธอร์แลนด์ไว้บนบ่าพร้อมทั้งแบกความหวังของคนทั้งชาติในโปรเจคนำพาทีมชาติกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

งานใหม่ของ อาร์แซน เวนเกอร์

หลังจำใจกล้ำกลืนอำลาทีมรักอย่าง อาร์เซน่อล ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเกือบ 22 ปี กอบขึ้นมาจากทีมที่เกือบแตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วบรรจงปั้นให้เป็นรูปเป็นร่าง อาร์แซน เวนเกอร์ ยังคงไม่ตัดสินใจกลับมารับงานในโลกฟุตบอล และใช้ชีวิตเหมือนพักร้อนยาวไปเรื่อย ๆ แต่ก็ใช่ว่ากุนซือสมองเพชรจะหันหลังให้วงการอย่างถาวร เจ้าตัวยืนยันเองว่าทุกลมหายใจ และความคำนึง ผูกพันธ์อยู่กับฟุตบอลตลอดเวลา เรียกว่าเป็นมิสเตอร์ฟุตบอลอย่างแท้จริง

แม้หลังจากอำลาถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ได้ไม่นานจะมีข้อเสนอพรั่งพรูเข้าหาอย่างล้นหลาม ทั้ง ปารีส แซงต์ แชร์แมง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เอฟเวอร์ตัน และอดีตทีมเก่าอย่าง อาแอส โมนาโก เวนเกอร์ก็ยังไม่สนใจเท่าใดนัก เว้นแต่ นาโปลี และ เรอัล มาดริด ที่ใกล้ความเป็นจริงพอสมควร โดยเฉพาะราชันชุดขาว ช่วงหลังซีดานลาออกจากตำแหน่ง เวนเกอร์ออกปากกับผู้สื่อข่าวแบบเป็นนัยว่า “สองถึงสามอาทิตย์ทุกอย่างจะชัดเจน” ราวกับมั่นใจมากว่าจะได้งานกุมบังเหียนโคตรทีมเมืองหลวงแห่งสเปนแน่ ๆ ทว่า…มาดริดกลับหันไปหา ฆูเลน โลเปเตกี ทำเอา “เจ๊แวง” อายม้วนไปเหมือนกัน ช่วงก่อนและหลังฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2018 ทีมชาติหลายทีมปลดผู้จัดการ มีหลายข้อเสนอที่ไม่ระบุแน่ชัดส่งถึงเวนเกอร์ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ตกร่องปล่องชิ้นกับทีมใด ๆ จนเมื่อฟุตบอลลีกในยุโรปเปิดฤดูกาล ทีมใหญ่หลายต่อหลายทีมทำผลงานได้น่าผิดหวัง ชื่อของบรมกุนซือชาวฝรั่งเศสจึงหอมหวนขึ้นมาอีกครั้งในหมู่สโมสรดัง โดยเฉพาะ เอซี มิลาน ทีมยักษ์หลับรอวันถูกปลุกที่ดูมีภาษีในการจูงใจเวนเกอร์มากกว่าใคร

ทีมปิศาจแดงดำถือมีทุกอย่างเข้าทางเวนเกอร์ ทั้งระดับ เงินทุน ชื่อเสียงและประวัติศาสตร์ของทีม รวมทั้งอะคาเดมี่ชั้นเลิศอย่างที่เจ๊แวงต้องการ โดยมิลานวางโมเดลไว้ค่อนข้างแยบคาย ใช้นักเตะอย่าง กอนซาโล่ อิกวาอิน ล่อใจ ซึ่งอิกวาอินเป็นนักเตะในความปรารถนาของเวนเกอร์ตั้งแต่ครั้งคุมอาร์เซน่อล แถมหากกุนซือชาวฝรั่งเศสตกลงคุมมิลานจริงอาจใช้ความสัมพันธ์อันดีโน้มน้าวศิษย์เก่าอย่าง อารอน แรมซีย์ มาเซ็นสัญญาแบบฟรี ๆ ได้อีกด้วย

กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว มิลานก็เช่นกัน ยังมีปัญหาอีกหลายจุดที่เวนเกอร์อาจต้องเข้าไปสะสาง หากรับงานเผือกร้อนนี้ และการที่บอร์ดบริหารของมิลานวางใจให้กุนซืออายุอานามขนาดนี้เข้าไปจัดการแน่นอนว่าเป้าหมายไม่ใช่การคว้าแชมป์หรือสร้างเม็ดเงินเข้าสโมสร แต่เป็นการปูรากฐานที่มั่นคงให้สโมสรก้าวไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นหากผลงานไม่เข้าที่เข้าทางบ้าง แฟนมิลานอย่าได้ชูป้าย wenger out เชียว เพราะถ้า wenger out จริง จะมา crying เหมือนแฟนอาร์เซน่อลเขาล่ะ

“ลอร์ด เบนด์ทเนอร์” ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา?

เราอาจได้ยินคำว่า “Lord” บ่อย ๆ ในภาพยนต์ฝั่งยุโรป หรืออย่างซีรีย์ชื่อดัง GOT Game of Thrones แต่ในโลกฟุตบอลไม่ว่าจะเป็น ท่านลอร์ด เดอะ ลอร์ด หรือ ลอร์ด เฉย ๆ ก็หมายถึง นิคลาส เบนด์ทเนอร์ นั่นแหละ คนอื่น ๆ อย่าง เอริค คันโตน่า ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นได้แค่เดอะคิง (มหาราช) ว่าแต่…รายหลังเริ่มสถาปณาตัวเองเป็นก็อดแล้วด้วย แต่ยังไงก็เหอะ เบนด์ทเนอร์เท่านั้นที่อยู่ในระดับของลอร์ด “ลอร์ด” จริง ๆ แล้วแปลความหมายได้กว้างมาก แต่พอสรุปแคบ ๆ ได้ว่ากษัตริย์ผู้พิชิต เทพเจ้า พระเจ้า แล้วแต่ความหมายในแต่ละพื้นที่ ทำไมถึงเรียกแบบนั้นน่ะเหรอ?…

ต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2013 นิคลาส เบนด์ทเนอร์ ผู้อยู่บนม้านั่งยาวก้นด้านแรมปี มีสถานะเป็นกองหน้าตัวสำรองลำดับสามต่อจาก โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และ ดาวรุ่งตลอดกาล ธีโอ วัลค็อตต์ ถึงกระนั้นเจ้าตัวหาญกล้าประกาศว่าหากต้องย้ายออกจากทีมปืนใหญ่ สถานีต่อไปของเขาคือ เรอัล มาดริด หรือ บาร์เซโลน่า เท่านั้น เอาจริงดิ!!! ซึ่งคำกล่าวอย่างอหังการนี้สวนทางกับฟอร์มอันเละเทะของเจ้าตัวเหลือเกิน นับแต่บัดนั้นจึงเท่ากับเป็นการสถาปณาตัวเองขึ้นเป็น “ท่านลอร์ดเบนด์ทเนอร์” อย่างเต็มภาคภูมิ

โลกอินเทอร์เน็ตที่ความเร็ว 2Mbps ถูกเรียกว่าหรูแล้วเฮฮาทันที เมื่อคำพูดขี้โม้ยิ่งกว่า สมรักษ์ คำสิงห์ ถูกนักข่าวปล่อยออกไป โดยเฉพาะเว็บบอร์ดต่างประเทศที่พร้อมใจกันตัดต่อรูปของลอร์ดเบนด์ทเนอร์พร้อมใส่มุกตลกลงไปอย่างสนุกสนาน บานตะไท เช่น

หลับไปหนึ่งวันตื่นขึ้นมาเป็นพระเจ้า (หลังจากให้สัมภาษณ์ อีกวันถูกเรียกว่าท่านลอร์ด)

เมสซี่ยิง 0 ประตูให้ทีมชาติเดนมาร์ก เบนด์ทเนอร์ยิง 24 ประตูให้เดนมาร์ก = ลอร์ด เบนด์ทเนอร์ เก่งกว่าเมสซี่

จงโหวตรางวัลบัลลง’ดอร์ให้กับลอร์ดเบนด์ทเนอร์ (อันนี้มีคนทำป้ายไปติดข้างถนนเป็นเรื่องเป็นราว)

FIFA (เกม) ปรับค่าพลังใหม่ให้กับลอร์ดเบนด์ทเนอร์เป็น 99

อาร์เซน่อลไม่ได้ซื้อเบนด์ทเนอร์แต่เบนด์ทเนอร์ซื้ออาร์เซน่อลไว้เล่นฟุตบอล

และมุกตลกอีกมากมายที่แฟนฟุตบอลต่างเอามาล้อเลียนจนถึงปัจจุบัน

เรื่องราวของท่านลอร์ดถูกเอามาเล่นกันอย่างสนุกสนานถึงสองปี แต่ในปี 2015 นิคลาส เบนด์ทเนอร์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าเขาไม่รู้จริง ๆ ไอ้ฉายาท่านลอร์ดของตัวเองมันมาจากไหน? แถมปฏิเสธด้วยว่าเท่าที่จำได้ไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อใด ๆ ว่าจะไป เรอัล มาดริด รวมทั้ง บาร์เซโลน่า แถมบอกอีกว่าไม่ชอบฉายานี้เอาเสียเลย โถ ๆ … พ่อคุณ รู้สึกตัวช้าจริง ๆ เพิ่งจะมาแก้ข่าวเอาสองปีให้หลัง สายไปเสียแล้ว เพราะทุกคนรู้จักนายในฐานะนักเตะในตำนาน “ลอร์ด เบนด์ทเนอร์” ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่เอาจริง ๆ ข้อดีของมันคือแฟนบอลก็เอ็นดูนายในฐานะ ลอร์ด เบนด์ทเนอร์ มากกว่า นาย เบนด์ทเนอร์ เฉย ๆ อะนะ

โรดริโก โมเรโน กองหน้าเนื้อหอมแห่งบาเลนเซีย

ตลาดซื้อ-ขายนักเตะซัมเมอร์ 2018-2019 ที่ผ่านมา โรดริโก โมเรโน นับว่าเป็นนักเตะที่ชื่อหอมหวลมาก ๆ บรรดาทีมยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปต่างพากันเทียวไล้เทียวขื่อไม่ขาดสาย ตั้งแต่ บาร์เยิร์น มิวนิค เอซี มิลาน บาร์เซโลน่า และที่วาดหวังอย่างจริงจังกว่าใครก็คือ เรอัล มาดริด ที่มองหากองหน้าที่เชื่อใจได้มากกว่า คาริม เบนเซม่า

โรดริโก โมเรโน เกิดในเมือง ริโอ เดอ จาไนโร ประเทศบราซิล เป็นลูกครึ่ง สเปน บราซิล และเลือกติดธงในนามทีมชาติสเปน เป็นกองหน้าที่มีความเร็ว ความคล่องตัวสูง ถนัดเท้าซ้ายแต่ก็สามารถเล่นได้ดี และยิงประตูได้ทั้งสองเท้า เล่นได้ทั้งตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า กองหน้าตัวที่สอง (second striker) และตัวรุกทางกราบขวา ซึ่งสามารถเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติทั้งสามตำแหน่ง โรดริโกถูกจับตามองมาตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่งใน เซลต้า บีโก้ ชุดเล็กในปี 2008 อยู่ใต้ชายคาของเซลต้าได้เพียงปีเดียวก็ถูก เรอัล มาดริด กาสตีญ่า ดูดเข้าสังกัดในปี 2009 ในปีถัดมาเบนฟิก้ายอดทีมจากโปรตุเกสยอมควักเงินจ่ายค่าตัวของเขากว่า 6 ล้านยูโรเพื่อแลกลายเซ็นของดาวรุ่งตัวกลั่นในวัย 19 ปีเขามาฟูมฟักในอะคาเดมี่ จากนั้นไม่กี่เดือนก็ปล่อยตัวให้ โบลตัน วอนเดอร์เรอร์ส ยืมใช้งาน

ที่ โบลตัน โรดริโก ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากนักเตะเก่ง ๆ มากมายเช่น โยฮาน เอลมานเดอร์ มาร์ติน เปตรอฟ ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ อิวาน คลาสนิช ลี ชุง ยอง เจลอยด์ ซามูเอล แซท ไนท์ และ แกรี่ เคฮิลล์ แถมยังเป็นนักเตะตัวยืมร่วมรุ่นกับ มาร์กอส อลอนโซ แบ็คซ้ายเวิร์ลคลาสของเชลซีที่ขณะนั้นเป็นดาวรุ่งของ เรอัล มาดริด อีกด้วย การได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกถึง 17 เกมนับเป็นก้าวกระโดดที่ทำให้วิชาของโรดริโกกล้าแข็ง แม้จะยิงได้เพียงประตูเดียวในเกมพบกับ วีแกน แอธเลติก ก็ตาม แต่เมื่อกลับไปเบนฟิก้า สามฤดูกาลที่แผ่นดินโปรตุเกสเขาลงเล่นทั้งสิ้น 119 เกม กระซวกตาข่ายไป 45 ลูก กับอีก 17 แอสซิสต์จากทุกรายการ แมวมองของ “ไอ้ค้างคาว” บาเลนเซีย ไม่รอช้าจัดการทดสอบของแรงทันที และแค่ยืมตัวไปใช้งานเพียงฤดูกาลเดียว โรดริโกก็กลายเป็นดาวรุ่งเนื้อหอมที่ทีมระดับกลางจับตามองทั้งเซบีญ่า แอตเลติโก มาดริด และ บีญาเรอัล บาเลนเซียจึงวางเฉยไม่ได้จัดการรวบหัวรวบหางจ่ายค่าตัวกว่า 30 ล้านยูโร คว้าตัวเขามาร่วมทีมโดยสมบูรณ์ เพื่อเป็นการกันท่าบรรดาทีมตาอยู่ที่จ้องตาเป็นมัน

5 ฤดูกาลกับบาเลนเซียศูนย์หน้าฟอร์มฮอตลงสนามทั้งสิ้น 146 เกม ทำประตูทั้งสิ้น 38 ลูก จ่ายให้เพื่อนทำประตูได้อีก 20 ลูกถ้วน จากทุกรายการ ในขณะที่เขายังไม่ตัดสินใจขยายสัญญากับบาเลนเซีย และสัญญาเดิมเหลือเวลาไม่ถึงสองปีครึ่ง ไม่แน่…บางทีตลาดฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ เมสตาย่า สเตเดี้ยม อาจจะเล็กไปสำหรับคนความสามารถใหญ่อย่าง โรดริโก โมเรโน มาชาโด

กลับมาได้ไหม ลีดส์ ยูไนเต็ด?

ครั้งหนึ่งบนลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษเคยมีทีมเก่าแก่ขวัญใจแฟนบอลอย่าง วิมเบิลดัน โคเวนทรี่ ซิตี้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แอสตัน วิลล่า บางทีมเคยเป็นแหล่งฟูมฟักแข้งระดับโลก บางทีมเคยเป็นถึงจ้าวยุโรป วันเวลาเหล่านั้นก็เหมือนสายลมพัดผ่าน บรรดาทีมทรงอิทธิพลเหล่านี้หล่นร่วงลงไปสู่ลีกชั้นรอง บางทีมล้มละลาย เหลือไว้เพียงตำนานให้เล่าขาน แต่มีเรื่องให้ชื่นใจคือหนึ่งในทีมระดับตำนาน กำลังมีแนวโน้มที่ดีในการกลับคืนสู่ลีกสูงสุด

เจ้าของฉายา “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด เป็นชื่อที่เหล่าแฟนบอลรอคอยวันกลับมา มั่นใจว่าแฟนบอลยุค 90′ จนถึงยุค 2000 ต้น ๆ คงจำได้ดีว่าในถิ่น เอลแลนด์ โร้ด เคยมีนักเตะเวิร์ลคลาสอย่าง กอร์ดอน สตรัคคั่น เอริค คันโตน่า อยู่ในชุดแชมป์พรีเมียร์ชิพส์ 1991-1992 และถัดมาอีกราวสิบปีให้หลังในปี 1999-2002 เป็นยุคที่เรียกว่ารุ่งเรืองสุดขีดชื่อของ มาร์ค วิดูก้า ร็อบบี้ คีน ไมเคิล บริดเจส ดาร์เรน ฮัคเคอร์บี้ แฮร์รี่ คีเวล อลัน สมิธ นิค บาร์มบี้ ลี โบว์เยอร์ เอียน ฮาร์ท ริโอ เฟอร์ดินาน ลูคัส ราเดเบ้ โจนาธาน วู้ดเกต ไมเคิล ดูว์เบอร์รี่ ไนเจล มาร์ติน คงเป็นชื่อที่หลายคนยังจำได้

ลีดส์ในชุดนั้นเป็นดรีมทีมเด็กห้าว ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นอายุน้อย ต่างจากทีมอื่น ๆ ในลีกที่อาศัยนักเตะมากประสบการณ์ แถมโมเดลนี้เคยถูกปรามาสว่าคงล้มเหลวเป็นแน่ แต่ทีมของ ดาวิด โอเลียร์รี่ พิสูจน์ให้เห็นทันทีด้วยการคั่วโควต้าบอลยุโรปชนิดทำเอาทีมใหญ่ ๆ เกือบเสียท่าให้เหมือนกัน หลังจากการทดลองนี้เห็นผล ทีมอื่น ๆ ก็นำแนวทางนี้ไปทำตามบ้างจนได้ความสำเร็จติดมือกันมานักต่อนัก เรียกว่าลีดส์เป็นทีมที่สร้างไดเร็คชั่นนี้ขึ้นมาก็ไม่ผิด เพียงไม่นานจากนั้นสโมสรประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก เป็นเหตุให้ต้องขายบรรดานักเตะฝีเท้าดีออกไป ส่งผลให้พยุงผลงานไว้ไม่ไหวและตกชั้นไปในที่สุด เดิมทีจะมีใครคิดว่าทีมมาตรฐานสูงอย่างลีดส์จะหล่นชั้นไปนานมากจนแฟนบอลรุ่นใหม่แทบไม่รู้จัก แฟนบอลที่คอยเอาใจช่วยกลายเป็นคุณน้า คุณอา ไปหมดแล้ว หลายคนหวังใจว่าวันที่ได้เห็น ลีดส์ ยูไนเต็ด หวนคืนสู่ลีกสูงสุดเขาจะไม่เป็นคุณลุงหรือคุณปู่ไปเสียก่อน

แม้ความหวังน้อยนิดแต่ก็ยังมีหวัง มาร์เชโล่ บิเอลซ่า คือแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่ว่านี้ “เอล โลโก” และ “the architect” คือฉายาที่บรรดาผู้คนยกย่องให้เป็นเกียรติ เขาเป็นทั้งผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา เป็นทั้งแรงบันดาลใจให้กับผู้จัดการทีมเลื่องชื่อในยุคปัจจุบันทั้ง เป๊ป กวาดิโอล่า ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ และ มัวริซิโอ โปเช็ตติโน่ โดยเฉพาะรายหลังที่สไตล์การทำทีมคล้ายคลึงกับบิเอลซ่าเอามาก ๆ

ทันทีกุนซือสมองเพชรก้าวเข้ามารับงานในถิ่น เอลแลนด์ โร้ด ผลงานของลีดส์ก็ดีขึ้นผิดหูผิดตาจนตอนนี้ขึ้นมาท้าทายอยู่บนหัวตารางของลีกเดอะ แชมเปี้ยนชิพส์อย่างเต็มภาคภูมิ หากผลงานยังดีวันดีคืนแบบนี้ บางทีเราอาจไม่ต้องรอนานขนาดเป็นคุณลุง หรือคุณปู่ก็คงได้เห็นทีมยูงทองกลับขึ้นมาโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้งเป็นแน่

เอริค ลาเมล่า ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ

ถ้าไม่ใช่ยิดโด้ตัวจริง ให้เดาว่านักเตะคนใดอยู่ในทีม ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ชุดปัจจุบันมานานที่สุดคงเดาได้ยาก แต่ถ้าเป็นแฟนบอลของสเปอร์แล้วล่ะก็แทบจะตอบได้ทันทีว่า คริสเตียน อีริคเซ่น และ เอริค ลาเมล่า สองแข้งพรสวรรค์ที่ได้มาหลังจากจำหน่ายนักเตะอันดับหนึ่งของทีมอย่างแกเร็ธ เบล ให้กับ เรอัล มาดริด

ในรายของจอมทัพชาวเดนมาร์ก ทุกเพนนีที่จ่ายให้ อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม ล้วนคุ้มเกินคุ้มยิ่งกว่าแฟลตปลาทอง แต่กับ เอริค ลาเมล่า ด้วยค่าตัวกว่า 30 ล้านยูโรที่ทีมไก่เดือยทองยอมทุ่มทุนสร้าง ประเคนขันหมากให้กับ อาแอส โรม่า ยังไม่มีอะไรได้เป็นมรรคผล “เอล โคโค่” ถือเป็นนักเตะกระดูกยุงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอย้ายเข้าสู่คลับไก่ก็เวียนวนอยู่กับโรงหมอไม่ขาด ลงสนามปีหนึ่งได้ไม่กี่เกมก็บาดเจ็บอยู่ร่ำไป แต่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่ายามอยู่บนฟลอร์หญ้าลาเมล่าไม่ใช่แข้งพรสวรรค์ เขามีทุกอย่างเพียบพร้อมสำหรับการเป็นนักเตะระดับโลกทั้งทักษะ การครอบครองบอล การเลี้ยงกินตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามทำเกมบุก การผ่านบอลและการหาพื้นที่เข้าทำเป็นจุดเด่นจุดขายของปีกอาเจนไตน์อย่างแท้จริง เสียก็แต่บางครั้งด้วยพรสวรรค์ที่มีมากเกินไปทำให้ลาเมล่ามักจะมั่นใจเกิน ฝืนเล่นในจังหวะที่ไม่ควร การตัดสินใจไม่ค่อยดี พยายามยิงประตูแบบเหนือชั้นซึ่งมันไม่เคยเข้า บางครั้งบางทีติดโชว์จนเพื่อนร่วมทีม และแฟนบอลต้องส่ายหน้าพรืด

จนเมื่อฤดูกาล 2017-2018 เริ่มต้น การลงสนามช่วงต้นซีซั่นกลายเป็นฝันร้ายที่ส่งผลให้ลาเมล่าแทบจะรักษาตัวเพราะอาการบาดเจ็บไปทั้งฤดูกาล เป็นเรื่องทรมานใจเพราะในขณะที่เขาต้องรักษาตัว เพื่อน ๆ ในทีมกลับทำผลงานได้ดีจนทีมได้ลุ้นคั่วแชมป์พรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะซุปตาร์เกาหลีใต้ ซน ฮึง มิน ที่ได้ลงสนามแทนตัวเขาเองก็ระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอด ซ้ำร้ายอาการบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่าที่เรื้อรังทำให้ช่วงหนึ่งเจ้าตัวคิดว่าคงไม่หายขาดแน่แล้ว จึงเตรียมใจจะแขวนสตั๊ดไปเลย

ท้ายฤดูกาล 2017-2018 ลาเมล่ากลับมาลงสนามได้แล้วก็บาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ อีก พักรักษาตัวและเริ่มกลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในช่วงต้นฤดูกาล 2018-2019 นี้ ทว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เล่นแบบฟุตบอลประเภทชายเดี่ยวอีกต่อไป เริ่มเห็นทัศนคติการเล่นเป็นทีมมากขึ้น ที่สำคัญคือจังหวะทำประตูที่ดูจะแจ้งกว่าเดิมมาก ซึ่งนี่แหละคือ เอล โคโค่ ที่แฟนบอลไม่ได้เห็นมานาน การปรับทัศนคติโดยไม่ต้องพึ่งกระทรวงกลาโหมของไทยส่งผลให้สิริรวมแล้ว ลงสนาม 8 นัด ยิงไปแล้ว 5 ประตู บวกกับอีก 2 แอสซิสจากทุกรายการ

ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างกายผมจะเป็นยังไงต่อไป? ผมซ้อมได้ไม่ถึง 80% ด้วยซ้ำ” นั่นแปลแบบภาษาชาวบ้านได้ว่าขนาดร่างกายไม่พร้อมยังผลงานอย่างหรูขนาดนี้ ถ้าฟิตเต็มร้อยหมอนี่จะสะเด็ดยาดขนาดไหนกัน?