Category Archives: ฟุตบอลต่างประเทศ

โลเปเตกี ชื่อนี้เก้าอี้ร้อน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการโบกมืออำลาถิ่น ซานติอาโก เบร์นาเบว ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่ เรอัล มาดริด การไม่ชนะติดต่อกันถึงห้าเกม และยิงได้เพียงหนึ่งประตู เป็นหายนะที่ไม่เกิดกับทีมราชันชุดขาวมานานหลายทศวรรษแล้ว และมันเกิดขึ้นหลังจากเสียนักเตะหมายเลขหนึ่งของทีมไปพร้อมกุนซือคู่บุญ

ก่อนฤดูกาลจะเริ่มขึ้น หลายคนมองว่าโคตรทีมจากสเปนจะหาตัวตายตัวแทนได้แน่นอน หวยออกไม่พ้นดาวดังอย่าง คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ เนย์มาร์ และ เอแด็น อาร์ซาร์ ทว่าท้ายที่สุดมาดริดล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ กลับไปทุ่มเงินคว้าตัว เวเนซิอุส กองกลางดาวรุ่งชาวแซมบ้าที่ยังไม่ได้พิสูจน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ถึงกระนั้น ฆูเลน โลเปเตกี ผู้จัดการทีมคนใหม่ก็ไม่ยี่หระ ประกาศพอใจกับทีมและนักเตะที่มี โดยจะผลักดัน แกเร็ธ เบล ให้ขึ้นมาเป็นหัวใจของทีมแทน ซึ่งก็เป็นตามที่แฟนบอลคาดหมาย ปีกชาวเวลล์มีดีพอก้าวขึ้นเป็นหมายเลขหนึ่งของทีม หลายครั้งในเกมสำคัญประตูของเขาชี้ขาดเกมได้ หลายครั้งยามไม่มีโรนัลโด้เขาแบกรับทีมแทนได้อย่างไม่ขัดข้อง แต่…เบลไม่ใช่นักเตะที่มีความฟิตพอจะส่งลงสนามได้แทบทุกนัด ซ้ำร้ายความเป็นผู้นำในสนามยังน้อยกว่าเพื่อนร่วมทีมอีกหลาย ๆ คน แรงสนับสนุนจากเพื่อนร่วมทีมเฉกเช่นโรนัลโด้จึงไม่เกิดขึ้นกับเบล

เซบีญ่า 3-0 เรอัลมาดริด

เรอัล มาดริด 0-0 แอตเลติโก มาดริด

ซีเอสเคเอ มอสโก 1-0 เรอัล มาดริด

อลาเบส 1-0 เรอัลมาดริด

เรอัล มาดริด 1-2 เลบานเต้

สองนัดหลังถือเป็นความอับอายอย่างยิ่งสำหรับสาวกมาดริดิสต้า เพราะแพ้ทีมรองบ่อน ห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว และคนที่กดดันยิ่งกว่าใครในรูปการณ์นี้ก็คือ ฆูเลน โลเปเตกี แม้จะทำทีมชนะถล่มทลายมาก่อนหน้านี้แต่รูปทรงฟุตบอลที่เคยดุดันน่าเกรงขามของ เรอัล มาดริด กลับค่อย ๆ หายไป ภายใต้แท็กติกใหม่ของเขามันช่างน่าอึดอัด ดูไม่ไหลลื่น โดยเฉพาะเกมรุกที่ดูจะประสานงานกันไม่ลงตัว ไม่ว่าจะส่งใครลงสนาม ยิ่งความพยายามผลักดันดาวรุ่งให้ได้รับโอกาสลงสนามผิดจังหวะเวลายิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม

งานหนักกว่าเก่าเมื่อมีข่าวซุบซิบว่ากลุ่มนักเตะตัวเก๋าของทีมเริ่มไม่พอใจการทำงานของโลเปเตกี โดยเฉพาะมาร์เซโล่แบ็คซ้ายหัวฟูชาวบราซิเลี่ยนที่ออกตัวแรงขอขึ้นบัญชีย้ายตั้งแต่ยังไม่เข้าเดือนธันวาคม โดยหมายใจกลับไปร่วมงานกับเพื่อนสนิทอย่างโรนัลโด้ที่ตูริน กรณีของมาร์เซโล่สุ่มเสี่ยงอย่างมาก หากบอร์ดบริหารของมาดริดยังสนับสนุนโลเปเตกีพลาดพลั้งจะเกิดอาการแข้งไหลได้ โดยเฉพาะนักเตะตัวหลักที่หาตัวแทนได้ยาก

สุดท้ายนี้ข่าวร้อนล่าสุดมีการยืนยันจากสำนักข่าวในยุโรปว่าฝ่ายบริหารของ เรอัล มาดริด ไม่อยู่เฉย แอบเล็งผู้จัดการทีมฝีมือดีไว้หลายคนทั้ง อาร์แซน เวนเกอร์ เลโอนาร์โด ยาร์ดิม มัวริซิโอ โปเช็ตติโน่ แต่ที่มาแรงกว่าใคร ณ เวลานี้คือ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่เพิ่งตกเก้าอี้จากเชลซีนั่นเอง

เคอซีสตอฟ เปียเต็ก เพชฌฆาตแห่งเจนัว

การย้ายทีมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จาก เรอัล มาดริด สู่ตูรินภายใต้ชายคาของยูเวนตุสทำให้ทั้งโลกหันไปสนใจ เซเรีย อา ลีกที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยนักเตะระดับโลกมากมายอีกครั้ง แม้จะร้างลาความสำเร็จระดับยุโรปมานานหลายปีแต่คุณภาพของลีกฟุตบอลอาชีพอิตาลียังคงมีมาตรฐานที่ดี โดยเฉพาะแท็กติกแผนการเล่น และกุนซือระดับเยี่ยมยุทธยังคงมีให้เห็นอยู่ตลอด ยิ่งเมื่อนักเตะเบอร์หนึ่งของโลกย้ายไปเล่นด้วยแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าย่อมเป็นจุดสนใจ สังเกตได้ชัดจากยอดฟอลโลว์ในสื่อโซเชียลของสโมสร เรอัล มาดริด ที่ลดลงหลายล้านไอดี และในทางกลับกันที่ยูเวนตุสมียอดแฟน ๆ แห่มาติดตามเพิ่มขึ้นหลายล้านเช่นกัน แสดงให้เห็นว่านักเตะอย่างโรนัลโด้มีอิทธิพลกับแฟนบอลมากขนาดไหน?

เมื่อลงสนามในสีเสื้อขาวสลับดำสื่อต่างพากันโฟกัสไปที่ยอดนักเตะชาวโปรตุกีส แต่ปรากฏว่าช่วงเริ่มฤดูกาลแรกกับลีกอิตาลีเขายังไม่เปรี้ยงนัก กลายเป็นนักเตะดาวรุ่งโนเนมจากโปแลนด์มาแย่งซีนไปเสียเฉย ๆ “เคอซีสตอฟ เปียเต็ก” ศูนย์หน้าจากทีมกลาง ๆ แบบเจนัว มาถึงก็ใส่ไม่ยั้งถล่มประตูชนิดไม่ไว้หน้านักเตะหมายเลขหนึ่งของลีก เจ้าหนูวัย 23 ปี โชว์ฟอร์มร้อนแรงไม่แพ้สตาร์หน้าไหนในลีกใหญ่ของยุโรป ไม่ว่าจะเป็น ลิโอเนล เมสซี่ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ เอแด็น อาร์ซาร์ หรือ มาร์โก รอยส์

พลิกปูมดูประวัติเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา ตั้งแต่เดบิ้วท์ลงสนามให้กับ ซาเกิลบี้ รูบิ้น(โปแลนด์) ในปี 2013 เรื่อยมาจนก่อนได้ย้ายทีมข้ามประเทศสู่อิตาลี เขากระหน่ำประตูไปทั้งสิ้น 50 ลูกถ้วน จึงไม่น่าแปลกใจนักกับฟอร์มในตอนนี้ที่ลงสนามให้เจนัวจำนวน 9 นัดเขาจะซัดไปถึง 13 ประตู โดยเฉพาะในรายการ โคปา อิตาเลีย ที่พบกับเลชเช่ เขาใช้เวลาเพียง 38 นาทีในการถล่มตาข่ายคู่แข่งถึง 4 ลูก ถูกเรียกตัวไปรับใช้ทีมชาติอย่างไม่ต้องสงสัย ที่สำคัญในรายการเนชั่นส์ลีก โปแลนด์ต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของโปรตุเกส เจ้าหนูฟอร์มระห่ำต้องโคจรไปดวลกับนักเตะหมายเลขหนึ่งของลีกอย่างโรนัลโด้เสียด้วย และเพียงแค่นาทีที่ 18 กับการลงสนามในนามทีมชาตินัดแรกเคียงข้างศูนย์หน้าระดับโลกอย่าง โรเบิร์ต เลวานโดว์สกี้ เปียเต็กก็สร้างเซอร์ไพรส์เหนือดาวเด่นทั้งมวลอีกครั้ง เมื่อโหม่งทำประตูจากลูกเตะมุมให้โปแลนด์ขึ้นนำโปรตุเกส 1-0 แม้ท้ายที่สุดเกมนั้นโปรตุเกสจะพลิกกลับมาเอาชนะเจ้าถิ่นได้ 2-3 แต่ชื่อของ เคอซีสตอฟ เปียเต็ก ก็กลายเป็นที่ฮือฮาในหมู่สื่อกีฬา รวมทั้งแฟนบอลทั่วโลก

จากค่าตัว 900,000 ยูโรเมื่อกลางปี 2018 ที่ผ่านมา เพียงไม่กี่เดือนค่าตัวของเขาพุ่งขึ้นไปกว่า 15 เท่า สื่อบางเจ้าออกตัวแรงว่าเขาคือ นิว เลวานโดว์สกี้ บ้างก็ปรามาสว่าอาจจะเก่งฤดูกาลเดียวเหมือนกับนักเตะหลาย ๆ คน ยังไม่มีอะไรบ่งบอกได้แน่ชัดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ในฐานะแฟนฟุตบอล เราแค่เฝ้ามองว่าเปียเต็กจะสร้างเซอร์ไพรส์อะไรให้เราทึ่งอีกนับจากนี้เท่านั้นเอง

วิกฤติระรอกใหม่ของมูรินโญ่

นับตั้งแต่ท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือจากการคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คณะทำงานที่สานต่อความสำเร็จมาอย่างยาวนานก็ถูกเปลี่ยนผ่านไปเป็นเจเนอร์เรชั่นใหม่เข้ามาแทนที่เช่นกัน ทว่า…ความน่าเกรงขามของปิศาจแดงก็ลดน้อยถอยลงทุกที ขนาดคนที่ถูกเลือกอย่าง “The Chosen One” ดาวิด มอยส์ หรือกุนซือจอมปรัชญาอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ยังเอาชื่อมาทิ้งที่โรงละครแห่งความฝัน

เสียงแฟนผีส่วนใหญ่เรียกร้องหากุนซือจอมอหังการ โจเซ่ มูรินโญ่ และก็ได้สมใจอยาก ในขวบปีแรกจนเข้าปีที่สอง ได้ความสำเร็จเป็นมรรคผลกับการคว้าแชมป์ลีกคัพและยูโรป้าลีก ทุกอย่างจึงหอมหวลเหลือคณา แต่พอเข้าปีที่สามดูเหมือนอะไร ๆ จะอีเหละเขละขละไปเสียหมดตั้งแต่ปัญหาการรีดฟอร์มของ อเล็กซิส ซานเชซ ปีกฟอร์มหลุด ปัญหาการเสริมทัพที่ไม่ได้นักเตะอันเป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะกองหลังที่เชื่อใจได้ และปัญหาใหญ่หลวงที่สุดคือความกินใจกันระหว่าง พอล ป็อกบา & มิโน่ ไรโอล่า vs โจเซ่ มูรินโญ่

“มิโน่ ไรโอล่า เป็นพวกต่ำทราม” เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้ว และดูเหมือน “มูมู่” จะไม่ได้ฟังคำเตือนนี้เท่าไร ด้วยเพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเอเย่นคนดัง จนเป็นเหตุให้ต้องมานั่งปวดหัว ณ เวลานี้ มิดฟิลด์ตัวตัดผมเป็นเด็กในโอวาทของไรโอล่าชนิดสั่งได้ เขาเคยพูดถึงความนับถือที่มีต่อนายหน้าร่างอวบว่าเป็นเสมือนพ่ออีกคน จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่นับตั้งแต่ย้ายก้นสีนิลจากยูเวนตุสกลับมาอยู่กับยูไนเต็ด ป็อกบาสร้างความปั่นป่วนมาไม่ต่ำกว่าห้า-หกครั้ง ทั้งการไม่ทุ่มเทอย่างเต็มที่ เดินเอื่อย ๆ ในสนาม ไม่แยแสผลการแข่งขัน ทำตัวเป็นซุปตาร์มากกว่าเป็นนักฟุตบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสพย์ติดโซเชียลที่ดูจะหนักหนาเอาการ ทั้งการอัพคลิปเปลี่ยนทรงผมที่แทบจะเรียกได้ว่าผมยังไม่ทันขึ้นก็ไปตัดออกเสียแล้ว โพสต์คลิปเฮฮาทั้ง ๆ ที่ทีมเพิ่งแพ้ต่อคู่แข่ง และที่เรียกว่าไม่เหมาะสมเอามาก ๆ คือการไลฟ์สดในห้องแต่งตัวระหว่างพักครึ่ง เขาพยายามทำตัวให้เป็นข่าวอยู่ตลอดเวลาเพราะหวังผลเชิงการตลาดเช่นเดียวกับนักเตะคนอื่น ๆ ในสังกัดเอเย่นเจ้านี้ ในขณะเดียวกันตัวแสบอย่างไรโอล่าก็พยายามเร่ขายป็อกบาให้ทีมยักษ์ใหญ่ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งย้ายมาสวมชุดแดงด้วยค่าหัวมหาศาลได้ไม่นาน เรียกว่าทำงานกันเป็นขบวนการทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์เลยทีเดียว

สิ่งที่ป็อกบาและเอเย่นของเขาทำเป็นการบ่อนทำลายยูไนเต็ดทั้งภายนอกและภายในโดยสมบูรณ์ นี่ยังไม่นับสื่อที่พยายามโหมกระพือข่าวรายวันว่ามูรินโญ่จะโดนเด้งโดยมี ซีเนดีน ซีดาน เป็นแคนดิเดตอีกเรื่อง ซึ่งก็เป็นอีกปัญหาที่น่าจะบั่นทอนกำลังใจไม่น้อยเหมือนกัน แต่ดราม่ายังไม่จบแค่นั้นเพราะวิกฤติรอบใหม่เกิดขึ้นในเกมล่าสุดที่บุกไปเสมอเชลซีถึงบ้านแบบน่าชนะ มูรินโญ่ระแคะระคายถึงขั้นพูดออกสื่อว่าในสโมสรอาจจะมีเกลือเป็นหนอนคอยส่งข่าวให้คู่ต่อสู้ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใคร? ต้องหาทางจัดการอีกที ดูสิ…ปัญหาเก่ายังไม่เคลียร์ปัญหาใหม่โผล่ขึ้นมาอีกระรอก ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะว่าไปน่าสงสารมูรินโญ่เหมือนกันนะเนี่ย

เอแด็น อาร์ซาร์ ฤดูกาลหน้าจะอยู่หรือไป?

นับตั้งแต่ตัดสินใจปัดข้อเสนอของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เพื่อย้ายจาก ลีลล์ สู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในปี 2012 ชีวิตของเพลย์เมกเกอร์ชาวเบลเยี่ยมก็เหมือนกราฟที่พุ่งขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ยิ่งล่าสุดพาทีมชาติคว้าอันดับสามในฟุตบอลโลก 2018 มาได้ นับเป็นการตอกย้ำได้เป็นอย่างดีว่าคุณภาพของอาร์ซาร์อยู่ตรงจุดไหน? แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธว่าเขาคือนักเตะระดับโลกอย่างแท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ใด ๆ ในเกาะอังกฤษไม่นับถาดการกุศล หรือแม้แต่ถ้วยยุโรปอย่างยูโรป้าลีกปีกร่างเล็กก็สัมผัสกับต้นสังกัดมาแล้วทั้งสิ้น จะว่าความท้าทายในลีกผู้ดีแทบไม่เหลืออะไรที่ต้องไขว่คว้าก็อาจจะกล่าวได้ ในขณะเดียวกันข่าวพัวพันกับการย้ายไปสวมชุดขาวที่สเปนก็ออกมาเป็นระรอก เมื่อตลาดซื้อ-ขายนักเตะเปิดก็มักจะมีความคาดเดาว่าอาร์ซาร์จะได้ย้ายสังกัด แต่ก็เป็นเพียงข่าวลม ๆ แทบทังสิ้น จนเมื่อกลางปีที่ผ่านมาก่อนตลาดซื้อ-ขายฤดูหนาวจะปิดลง อาร์ซาร์ให้ข่าวกับสื่อกีฬาอย่างตรงไปตรงมาว่า เรอัล มาดริด คือทีมในฝันของเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน เจ้าตัวก็พูดกับสื่ออีกรอบเพื่อกระตุ้นสถานการณ์ของทีม ซึ่งหมายความกลาย ๆ ว่าควรเฉดหัว อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือมากปัญหาออกไปได้แล้ว แม้จะไม่ได้พูดอย่างตรง ๆ แต่การบอกว่า “อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในทีมที่ดีกว่านี้ ไม่เช่นนั้นคงมองหาทางไป และถ้าเขาจะย้ายทีม ทุกคนรู้ดีว่ามันจะหมายถึงที่ไหน?” คำพูดประมาณนี้ก็ทำให้หลายคนเข้าใจดี แถมการรั้งรอไม่ยอมจรดปากกาต่อสัญญาก็ยิ่งทำให้แฟนบอลสิงห์โตน้ำเงินครามรู้สึกหวั่น ๆ อยู่ไม่น้อย เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาอาจต้องเสียนักเตะหมายเลขหนึ่งไปฟรี ๆ

ตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงขณะนี้สังเกตได้ชัดว่ามีแต่ข่าวจากฟากฝั่งนักเตะเอง แต่กลับกันทางฝั่ง ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด กลับเงียบเป็นเป่าสากผิดแผกไปจากเดิมที่เวลาต้องการซุปตาร์คนไหนเป็นต้องป่าวประกาศไปสามบ้านแปดบ้าน และดันไปมีข่าวกระแสแรงกับเนย์มาร์พ่วงคีเลี่ยน เอ็มบัปเป้สองสตาร์จาก ปารีส แซงต์ แชร์แม็ง เสียมากกว่า ถึงแม้จะคาดเดาได้ไม่ยากว่าสองตัวนี้ค่าหัวแต่ละคนอาจจะมากกว่า 100-250 ล้านปอนด์ก็ตาม จึงดูเหมือนเห็นอาร์ซาร์เป็นของตายหรือตัวเลือกรองของสองดาวดังที่กล่าวไป ราวกับว่าได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จุดนี้เองอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อาร์ซาร์อาจจะเลิกอ่อยโคตรทีมจากสเปนเสียที

บางทีการไม่ชัดเจนของ เรอัล มาดริด อาจทำให้อาร์ซาร์หวนกลับไปเปิดโต๊ะเจรจาขยายสัญญาอยู่ต่อกับเชลซีก็เป็นได้  เพราะจากหลาย ๆ คลิปฮาที่เจ้าตัวรวมทั้งเพื่อน ๆ โพสต์ลงสื่อสังคมออนไลน์ มันสะท้อนให้เห็นว่าเขาเองยังแฮปปี้มาก ๆ กับชีวิตในมหานครลอนดอนและในถิ่นสแตมฟอร์ดบริดจ์โดยไม่จำเป็นต้องง้อ เรอัล มาดริด ให้เสียราคาแต่อย่างใด

มัลคอล์ม กองกลางคนใหม่แห่งค่ายแคมป์นู

ในปีที่แล้วเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งความผิดหวังของทีมเจ้าบุญทุ่มบาร์เซโลน่าแห่งเสปนอย่างแท้จริง หลังจากที่พวกเค้าเสียนักเตะอย่างเนย์มาร์ ซึ่งเป็นระดับสตาร์ระดับโลก และเป็นหนึ่งใน 3 ขุนพล MSN ประสานงานกับสตาร์อย่าง 2 คนที่เหลือคือ เมซซี่ และ ซัวเรสอย่างลงตัว จนทำให้เกิดอาการสะดุด คลำหาทางเล่นบอลเหมือนเดิมไม่เจอ และในที่สุดก็ต้องพลาดเสียแชมป์ถ้วยใยใหญ่แห่งยุโรปให้กับคู่อริตลอดกาล อย่างเรอัล มาดริดไปอย่างที่น่าเจ็บใจ ต้องนั่งดูราชันชุดขาวรับถ้วยตาปริบ ๆ นี่ทำให้ต้องมีการถ่ายเลือดใหม่อย่างรีบด่วน และในที่สุดไม่ต้องรอนานพวกเค้าก็ได้เด็กหนุ่มคนใหม่มาแทนอย่างรวดเร็วนามว่า มัลคอล์ม ชื่อนี้จะมีดีมาจากไหน ดีพอจะใส่ชุดบาร์ซ่าหรือไม่ ผลงานที่ผ่านมาและประวัติด้านล่างนี้ อาจจะเป็นคำตอบ

มัลคอล์ม นั้นย้ายมาจากทีมจากฝรั่งเศส ลีกเอิง ที่ชื่อว่าบ็อกโดซ์ ที่หลาย ๆ คนอาจจะไม่ค่อยยินชื่อเค้ามาก่อน แม้ว่าเค้าเป็นทีมชาติบราซิลเหมือนกัน ก็เพราะลีกเอิงไม่ค่อยโด่งดังเหมือนกับอังกฤษและอิตาลีนั่นเอง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะมีฝีเท้าด้อยกว่าคนอื่น เพราะว่าที่จริงเค้าเป็นนักเตะชาวแซมบ้าแท้ ๆ และมีฝีเท้าได้รับการยอมรับมานานแล้ว และมีคนมากมายยอมรับเค้าและอยากให้ย้ายมาทีมใหญ่ตลอด แต่เวลาของเค้าก็ยังมาไม่ถึงสักที และก็เป็นโรมา หมาป่าจากโรมที่เกือบจะคว้าเอาตัวเค้าไปเป็นทีมแรก แต่ด้วยความชักช้า เป็นเจ้าบุญทุ่มเข้ามาเกี่ยวในวินาทีสุดท้ายของดีล แล้วแบบนี้มีหรือมัลคอล์มจะไม่สนใจบาร์ซ่ากว่า นี่ทำให้เค้าตัดสินใจไม่ยา และย้ายไปทำความฝันเป็นจริงของนักเตะทุกคนในโลกที่ อยากเล่นให้กับทีมที่ดีที่สุดในโลกแบบนี้ และแน่นอนเมื่อทีมอย่างเจ้าบุญทุ่มต้องการเค้าจริง ๆ จึงหมายความว่าเด็กคนนี้แน่นอนมีทีเด็ดแน่นอน

มัลคอล์ม เล่นตำแหน่งปีก และถนัดเท้าซ้าย พูดง่าย ๆ คือเป็นปีกจรวดแต่กำเนิดและ ถนัดการเล่นริมเส้นมากที่สุด แต่แม้ว่าเค้าจะมีเท้าซ้ายที่น่ากลัว แต่ก็เหมือนปีกซ้ายคนอื่น ๆ ที่มักจะสามารถโดนย้ายจับไปเล่นปีกขวาได้ด้วย เพื่อลากตัดเข้ามาตรงกลางและยิงประตูมากขึ้น นอกจากนั้นมัลคอล์มยังมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่นักเตะระดับโลกควรมี ไม่ว่าจะเป็น ร่างกายที่แข็งแกร่ง จิตใจที่ทนความกดดันได้ และความเร็ว ความไวของการตัดสินใจที่สำคัญสำหรับตัวรุกด้วย และอีกเรื่องที่คนจำเค้าได้คือ ลูกเล่น กลเม็ด เด็ดดวงของการเลี้ยงบอล หลอกล่อ และสับขาบ่อยของเค้า ทำให้กองหลังและฝั่งตรงข้ามต้องกลัวขึ้นสมองตลอด แน่นอนว่าบาร์ซ่าจะเข้ากับการเล่นของเค้าแน่นอน

มัลคอล์มจะไม่ทำให้การเล่นของบาร์ซ่าตกลงไป แต่จะดุดันขึ้น เผลอ ๆ อาจจะเป็นชื่อย่อใหม่ของ 3 ประสานปีหน้าคือ MSM ก็ได้

 

เฟร็ด กองกลางคนใหม่ของผีแดงยูไนเต็ด

หลังจากผีแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องพลาดหวังปีที่แล้ว ไม่ได้แชมป์รายการใหญ่ใด ๆ เลย  ปีนี้กุนซือจอมเก๋าอย่างโชเซ่ มูรินโญ่ คงจะไม่ยอมเข้าป้ายมือเปล่าอีกแน่ ๆ และความมุ่งมั่นเต็มที่ของเค้าก็จะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน พร้อม ๆ กันกับนักเตะในทีม และพอ ๆ กันกับแฟนบอลทั้งชาวไทยและเทศแน่ ๆ และหนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่น้ามูชอบทำประจำเวลาปิดฤดูกาลคือ การช็อปปิ้งหาซื้อนักเตะราคาแพง ๆ อย่างจ้าละหวั่น ปีนี้พวกเค้ารอไม่นานก็ได้สอยตัวราคาแพงมาทันที ชื่อของเค้าคือ เฟร็ด ชาวบราซิล ตำแหน่งกองกลาง ด้วยสนราคา 52.5 ล้านทีเดียว แต่หลายคนไม่เคยได้ยินชื่อเท่าไหร่ จึงแอบตกใจราคาแบบนี้ แต่ก็แอบลุ้นกันแน่นอนว่าจะเก่งแค่ไหน กองกลางคนนี้เป็นใคร มีจุดเด่นอะไร ทำไมถึงเข้าตายอดกุนซือคนนี้ได้

เฟร็ด  เป็นชาวบราซิลแท้ ๆ พูดง่าย ๆ ว่ามีความเป็นนักเตะสายเลือดแซมบ้า ที่เมื่อได้ยินเชื้อชาติแล้วแฟนบอลก็สามารถจินตนาการได้ล่วงหน้าเลยว่า จะมีทักษะเด็ดดวง และลีลาสะแด่วแห้วแค่ไหน นอกจากนั้นเค้ายังเป็นนักเตะที่โด่งดังมาพอสมควรแล้ว แต่อย่าเพิ่งสับสนกับ เฟร็ด อีกคนหนึ่งที่เป็นกองหน้าตัวเป้าในทีมชาติบราซิลชุดฟุตบอลโลกรอบที่ผ่านมานานแล้ว เพราะว่าคนนั้นเป็นผิวขาวและเล่นกันคนละตำแหน่ง แต่ว่าคนนี้เป็นนักเตะผิวสีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันมากับเมมฟิส เดอปาย ที่เพิ่งย้ายออกไปจากโรงละครแห่งความฝันหลังไม่ประสบความสำเร็จ และนักเตะคนนี้เป็นคนที่กุนซือ มูริญโญ่นั้นเฟ้นหามาด้วยตัวเอง ด้วยความชอบ และต้องการจริง ๆ จึงแน่นอนว่ามีทีเด็ดแน่นอน

เฟร็ด คนนี้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุก หรือตัวทำเกมที่อยู่ด้านหลังของกองหน้าตัวเป้า พูดง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็น เพลย์เมกเกอร์นั่นเอง ดังนั้นจุดเด่นของเค้าคือ ทักษะการเลี้ยงบอลที่ติดเท้า ทั้งด้านข้างของสนาม หรือตรงกลางด้วย นั่นทำให้มูริญโญ่อาจจะให้เค้าเล่นในตำแหน่ง 1 ใน 3 กองกลางตัวหลัก ที่ยืนเรียงหน้ากระดานในแผน 4-3-3 ที่เค้าชอบด้วยกับอีก 2 คนหลักคือ ป็อกบา ลูกรัก และ มาติช นั่นเอง และด้วยความเป็นตัวรุกที่คล่องแคล่วว่องไว มีความเร็วตามแบบฉบับนักเตะบราซิลอยู่แล้ว  คาดว่าเค้าน่าจะเล่นกันได้เข้าขากับป็อกบาเป็นพิเศษ ที่ผ่านมาเขาอาจจะกำลังรอเพื่อนคู่ขา ที่จะมาทำให้การเล่นมีความไดนามิคมากขึ้น หลังจากขาดแคลนความไหลลื่นแบบนี้มานานแล้ว

นอกจากนั้น เฟร็ด นั้นเป็นนักเตะที่อ่านทางจับทางได้ลำบาก เนื่องจากการเล่นของเค้ามีความคิดสร้างสรรค์เต็มเปี่ยม นั่นทำให้คู่แข่งของเค้าจะเดาได้ยากว่าจะเล่นแบบไหน และแง่มุมของการแตกต่างแบบนี้แหละที่จะทำให้ผีแดงได้ประโยชน์อย่างมากยามที่ไม่สามารถเจาะการอุดของคู่แข่งไว้ได้

เฟร็ด นั้นอาจจะเข้ามาทำให้ผีแดงมีเกมรุกที่คาดเดาได้ยาก และต้องไม่ลืมว่าการลุ้นแชมป์ในทุก ๆ ปี ของทุกทีม ก็จะคาดเดายากเนื่องจากความสูสีตามไปด้วยแน่นอน

 

นาบี้ เกอิต้า กองกลางคนใหม่ของหงส์แดงลิเวอร์พูล

หลังจากที่แฟนบอลหงส์แดง ลิเวอร์พูล ได้ทำใจและเช็ดน้ำตาหลังจากที่ผิดหวังอย่างช็อกสุด ๆ ในเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาไปแล้ว กุนซือเฮฟวี่ เมทัล อย่างคล็อปป์ ก็ได้เริ่มการเสริมทีมใหม่อย่างไม่หยุดทันที ตั้งแต่ตลาดเปิดมา ด้วยความตั้งใจที่จะหานักเตะใหม่ฝีเท้าดีมาผลักดันความฝันให้เป็นจริงในปีนี้ และนักเตะคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คงจะเป็น นาบี้ เกอิต้า กองกลางคนใหม่ที่อาจจะไม่ได้ชื่อดังนัก สำหรับหมู่กองเชียร์ของอังกฤษ เพราะว่ามาจากลีกเยอรมันเลย แต่ก็แอบลุ้นกันแน่นอนว่าจะเก่งแค่ไหน กองกลางคนนี้เป็นใคร มีจุดเด่นอะไร จะมีดีสมความตั้งใจไหม เรามีข้อมูลมาให้คุณตัดสินใจเอง

นาบี้ เกอิต้า  เป็นชาวกีนี ทวีปแอฟริกานู้นเลย เค้าอายุ 23 ปีเท่านั้น มีส่วนสูง 172 ซม. และเล่นตำแหน่งกองกลาง  เค้าย้ายมาจากสโมสรไลป์ซิก ในบุนเดสลีกา เยอรมนี ซึ่งปีที่ผ่านมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เกาะหัวตารางแม้ว่าจะไม่ได้มีดาวเด่นมากนัก แต่กับต่อกรกับทีมใหญ่ ๆ อย่างสูสี จนทุก ๆ ทีมหันมามองนักเตะแต่ละคนในทีม และเป็นนาบี้ เกอิต้า นี่แหละที่เฉิดฉายมาก หลังจากที่เค้าจบฤดูกาลด้วย การลงเล่นทั้งหมด 30 เกม ยิงไป 5 ประตู และจ่ายบอล 2 ประตู และยังได้รางวัลยอดเยี่ยมแห่งปีมาแล้วด้วย ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2016-2018 เป็นต้นมาจึงถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่นาบี้ ได้แจ้งเกิดและการเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปถ้วยใหญ่สุด ก็ถือว่าเป็นเวทีชั้นดีที่ให้ผลงานของเค้าเองเตะตาลิเวอร์พูลในที่สุด

นาบี้ เกอิต้า นั้นเป็นนักเตะแอฟริกาโดยกำเนิด ดังนั้นเรื่องสมรรถนะร่างกายและลักษณะทางด้านร่างกายที่แข็งแรง  มีความกำยำ และวิ่งเร็วคงไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นจุดเด่นแน่นอน แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว เค้ายังไม่ใช่กองกลางตัวรับ หรือกองกลางตัวรุกเต็มตัวด้วย นั่นหมายความว่า เค้าไม่ได้เล่นตำแหน่งที่ต่ำหรือดันสูง แต่กลับเป็นกองกลางที่เล่นได้ทุกตำแหน่ง อาจจะเป็นกองกลางที่ครบเครื่องก็ว่าได้ บางครั้งการเล่นแบบนาบี้ เรียกกว่า Box to Box Player หมายความว่า กองกลางคนนี้วิ่งตั้งแต่กรอบเขตโทษตัวเองเวลารับ และก็แจ้นไปหน้าเขตโทษฝั่งตรงข้ามเวลาทำเกมรุกด้วย ขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้อย่างไม่มีเหนื่อย เรียกว่าสารพัดประโยชน์มากนั่นเอง นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญยังบอกว่า นาบี้มีความเป็นกองกลางที่ Dynamic มาก แปลว่าเค้ามีพลังเหลือล้นไม่ขี้เกียจ แถมการจ่ายบอลก็ได้หมดทั้งสั้นและยาว แถมยังมีจังหวะขึ้นมาทำประตูแสดงความเฉียบคมบ่อย ๆ ด้วย

นาบี้ เกอิต้า เป็นอะไรที่แตกต่างจากกองกลางคนอื่น ๆ ของหงส์แดงมาก เช่น เฮนเดอร์สัน กับอัลเลนมาก ก็หวังว่าในปีนี้ คล็อปป์จะมีทุกอย่างที่เพียงพอและพร้อมแล้วสำหรับการได้แชมป์

 

ลูคัส ตอร์เรร่า กองกลางจอมบู๊คนใหม่ของอาร์เซน่อล

หลังจากที่กุนซือคนใหม่อย่าง อูไน เอเมรี่เข้าคุมทีมปืนโตอย่างเป็นทางการแล้ว  ก็เริ่มภารกิจแรกทันที นั่นคือการค้นหานักเตะใหม่ที่ตรงกับความต้องการส่วนตัว และรูปแบบ ไอเดีย แนวคิดการเล่นของตัวเอง เพื่อมาทำงานร่วมกัน และจะสามารถสร้างทีมผสมผสานกลุ่มนักเตะเก่าที่มีและนักเตะใหม่ที่นำเข้ามา เพื่อร่วมกันให้กลายเป็นทีมใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น มีความดุดันขึ้น และมีโอกาสมากกว่าเดิมที่จะก้าวไปให้ได้แชมป์ปีหน้านั่นเอง และหนึ่งในนั้นก็คือ ลูคัส ตอร์เรร่า ที่เรียกได้ว่าไม่มีคนรู้จัก ก่อนจะมีข่าวว่าเซ็นต์สัญญาเลยนั่นเอง แต่กองกลางคนนี้เป็นใคร มีจุดเด่นอะไร ต้องดูข้อมูลนี้กันสักหน่อย

ลูคัส ตอร์เรร่า เป็นชาวอุรุกวัย สูงเพียง 168 ซม. และตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับกองกลางคนอื่น ๆ เค้าย้ายมาจากสโมสรที่ชื่อ ซามป์โดเรีย ในอิตาลี และเล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับ หรือกองกลางตัวตัดเกมสายบู๊ ซึ่งเป็นชนิดที่ปืนโตขาดมานาน เค้าติดทีมชาติไปทั้งหมด 8 นัดแล้ว และเป็นหนึ่งในขุนพลของอุรุกวัยที่ได้ไปลุยบอลโลกที่ผ่านมาด้วย เค้าเริ่มการค้าแข้งจริง ๆ จัง ๆ นอกประเทศกับสโมสรเปสคาร่า ในอิตาลี เมื่อปี 2014-2015 และเป็นที่นี่เองเค้าสร้างชื่อให้กับตัวเองอย่างมาก ด้วยการเล่นที่โดดเด่นมีประโยชน์ และช่วยทีมให้เลื่อนชั้นได้ จนในปี 2015 ก็เป็นซามป์โดเรียที่ซื้อตัวเค้าไปด้วยราคา 1.5 ล้านยูโร และแจ้งเกิดเต็มที่จนมีทีมจากทั่วยุโรปสนใจ และเป็นอาร์เซนอลที่ไวที่สุดได้ตัวไปนั่นเอง

เมื่อตอนที่แฟนบอลอาร์เซนอลเริ่มทราบว่าทีมมีข่าวกับนักเตะคนนี้ ก็พอดีกันเลยกับช่วงที่อุรุกวัยกำลังทำผลงานได้ดีในบอลโลกที่ผ่านมา และเพียงแค่เปิดทีวีดูเกมในนัดต่าง ๆ ก็จะพบเห็นชัดเจนว่า ลูคัส ตอร์เรร่า เล่นเป็นนักเตะแบบไหน สิ่งแรกที่เห็นชัดคือเค้าเป็นกองกลางที่ถนัดเกมรับมาก ๆ เพราะธรรมชาติโตมาด้วยตำแหน่งนี้ และชอบยืนเป็นตัวกั้นกลางกับแผงหลังที่เป็นที่ต่ำมาก และทำเกมจากที่นั่น เค้ามีวินัยและชอบวิ่งตัดเกมแบบไม่เหนื่อย ด้วยความดุดัน และไม่กลัวคนที่ตัวใหญ่กว่าด้วย แถมยังมีการผ่านบอลหลากหลาย ไม่อายที่จะผ่านบอลไปข้างหน้า และที่สำคัญชอบยิงฟรีคิกอีกด้วย  ส่วนจุดอ่อนคือตัวเตี้ยไม่ถนัดลูกกลางอากาศนั่นเอง แต่ก็เอาหน่า ทั้งทีมยังมีเหลืออีกตั้ง 9 คน จุดอ่อนแค่นี้มีคนอื่นช่วยทดแทนให้ได้แน่นอน

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ชี้ชัดแล้วว่า ลูคัส ตอร์เรร่า จะต้องกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอาร์เซน่อลที่เคยอ่อนยวบยาบ และขาดความดุดันแข็งแกร่งในแผงกลาง แล้วการลุ้นแชมป์ก็จะตามมาแน่นอน

 

ดิดิเย่ร์ เดอร์ช็องส์กุนซือผู้นำฝรั่งเศสไปถึงฝัน

ตอนนี้ทุกคนคงได้รู้จักทีมชาติฝรั่งเศสชุดล่าสุด ที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้อีกสมัยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่จริงแล้วหลายคนคงจะแทบได้มีโอกาสรู้จักสมาชิกนักเตะของทีมชุดนี้กันอย่างละเอียด โดยเฉพาะขุนพล 11 ตัวจริงไปบ่อยแล้วแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น อ็องตวน กรีซซ์มันน์ หรือ คีเลียน เอ็มบัปเป้ และแม้แต่ราฟาเอล วาราน กับอีกมากมาย แต่ทว่าอีกบุคคลหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อความสำเร็จของทีมชาติฝรั่งเศสชุดนี้แน่นอน จะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจาก กุนซือตัวเล็ก ๆ แต่ความสามารถไม่เล็ก ที่รับผิดชอบการเล่นทั้งหมดของนักเตะ ที่มีชื่อว่า เดอร์ช็องส์ นั่นเอง วันนี้คงจะดีถ้าเราจะได้มีโอกาสมาทำความรู้จักเค้ามากขึ้น ว่าอะไรและทำไมเค้าถึงทำให้ฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกได้ ให้เราคำตอบกันไปเลย

กุนซือประวัติศาสตร์

นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ เดอร์ช็องส์ ได้กลายมาเป็นมนุษย์คนที่ 3 ของโลกที่สามารถประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกได้ในช่วงชีวิตตัวเอง ทั้งในฐานะนักเตะ ซึ่งเค้าเคยทำได้ไปแล้วในฐานะกัปตันทีมชุดแชมป์ปี 1998 และในฐานะกุนซือมันสมองข้างสนามในปีนี้ 2018 ด้วย  ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียง 2 คนที่ทำได้คือ มาริโอ ซากัลโล ชาวบราซิล และฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ จากเยอรมนีนั่นเอง นี่หมายความว่าการที่เค้ามีประสบการณ์ในฐานะนักเตะที่เคยเล่นให้กับสโมสรดัง รวมถึงช่วงเวลาที่กดดันและความยากลำบากในการเล่นทีมชาติยิ่งในฟุตบอลโลก แน่นอนว่าช่วยเพิ่มพูนความคิด ลูกเล่น และวิธีการสอนและกระตุ้นนักเตะในการแข่งขันบอลโลกนี้แน่นอน ที่จริงน่าจะเป็นสิ่งล้ำค่าที่หาเปรียบไม่ได้ซึ่งโค้ชคนอื่นในการแข่งขันปีนี้ไม่มีใครมีเลย

ประสบการณ์ด้านการเล่น

เมื่อตอนที่เดอร์ช็องส์เป็นนักเตะนั้น เค้าเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวตัดเกม หรือ มิดฟิลด์ตัวรับ ที่ยืนอยู่หน้าแผงหลัง และก็ทำหน้าที่ป้องกัน ตัดเกม เข้าปะทะ แย่งบอลเพื่อคุ้มกันกองหลังเป็นเหมือนหน้าด่านชั้นแรกให้กับแผงหลังเสมอ  การเล่นแบบนี้เคยถูก ตำนานผีแดงอย่าง อีริก คันโตน่า เรียกว่า เด็กยกน้ำ แต่ฉายานี้เป็นคำชมเชยแน่นอนเพราะว่า เค้าเล่นแบบนี้จนทำให้ได้แชมป์กับสโมสรมากมายและแชมป์โลกด้วย ดังนั้นเมื่อมาเป็นกุนซือในปีนี้ เดอร์ช็องส์ เลือกใช้แผนเดิมคือมีกองกลางตัวรับชนิดเดียวกับเค้าให้ทำหน้าที่นี้ และคน ๆ นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก นักเตะผู้ปิดทองหลังพระ และสุดยอดกองกลางตัวรับที่ ทุกคนต่างสรรเสริญหลังการแข่งขันอย่าง เอ็นโกโล่  ก็องเต้ ที่ทำงานอย่างหนักและเล่นคล้ายกันมากกับกุนซือของเค้านั่นเอง

เราเห็นแล้วว่าทั้งประสบการณ์ และ มันสมองด้านการเล่นฟุตบอลกับการวางแผนและวางตัวนักเตะ เดอร์ช็องส์ คนนี้เหมาะสมด้วยทุกประการในการเป็นกุนซือแชมป์โลก

 

ทำไมฝรั่งเศสถึงได้แชมป์โลก

ขอแสดงความยินดีกับทีมชาติฝรั่งเศสอีกครั้ง สำหรับการแสดงผลงานสุดยอดเพลงแข้งลูกหนัง ในมหกรรมฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดในปี 2018 อย่างยอดเยี่ยม จนได้คว้าถ้วยอันมีเกียรติอย่างแชมป์โลกไปครองเป็นทีมล่าสุด และเป็นแชมป์โลกที่รอคอยมานาน หลังจากครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปี 1998 อีกด้วย ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีทีมอื่น ๆ ในทัวร์นาเม้นนี้ที่ระดมขนสตาร์ระดับโลกมาใส่กันไม่ยั้ง และมีเทพแข้งกันเพียบในปี 2018 ทั้งเนย์มาร์ จากบราซิล ทั้งโรนัลโดของโปรตุเกส และโดยเฉพาะเมซซี่ของอาร์เจนติน่า แต่ทั้งหมดก็สู้ฝรั่งเศสชุดนี้ไม่ได้ คำถามคือ ทำไม และ ฝรั่งเศสมีอะไรดีถึงทำได้

นักเตะระดับสตาร์

นับว่าเป็นเรื่องจริงและสมเหตุสมผลทุกครั้ง ที่เมื่อใดก็ตามมีทีมคว้าแชมป์โลก ทีมนั้นจะต้องมีผู้เล่นอย่างต่ำ 1 คนที่เป็นนักเตะเทพระดับสตาร์ ซึ่งมีฝีเท้าระดับโลก สามารถอุ้มทีมผ่าวิกฤตใด ๆ ก็ตามที่ทีมกำลังเจอได้ เค้าคนนี้มีความสามารถแอบแฝง นอกจากฝีเท้าจะดีแล้ว ยังพลิกสถานการณ์ได้เสมอภายใต้ความกดดันที่คนอื่นทำไม่ได้ และฝรั่งเศสชุดนี้ก็เช่นกัน นักเตะหนุ่มคนนั้นคือ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ นั่นเอง หลักฐานคือเค้ายิงไปทั้งหมด 4 เม็ด และทุกเม็ดมีความสำคัญตั้งแต่เกมแรก ๆ เลยได้มาในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานมาก ๆ และตลอดทุกเกมที่เป็นตัวจริงก็ยังใช้ความเร็วความสามารถเฉพาะตัวขู่ฝั่งตรงข้ามได้เลย และในที่สุดเค้าก็ได้กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์โลก เหมือนกับตำนานเปเล่เลยทีเดียว

ความสมดุลด้านแผนการเล่น

ปกติแล้วทีมที่จะได้แชมป์โลกนั้น ย่อมจะต้องมีความสามารถเล่นได้ดีทั้งสองหน้าของฟุตบอล คือ ทั้งเกมรับและเกมรุก เป็นไปได้ยากที่ทีมหนึ่งจะผ่านความยากลำบากทุกอย่างได้ หากเน้นแต่การอุดประตู หรือบุกแหลกจนเกินไป  เพราะว่าทีมที่สมดุลต่างหากที่จะทำให้ทีม ๆ นั้นเล่นอย่างชาญฉลาด และปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นได้ทุก ๆ สถานการณ์ และฝรั่งเศสชุด 2018 นี้ก็เป็นแบบนั้นเลย เพราะว่าพวกเค้ายิงประตูได้แทบทุกเกมในการทำเกมรุก และยังยิงในนัดชิงไป 4 เม็ด แถมเวลาเจอทีมใหญ่ก็ยิงไป 4 -3 เช่นนัดเจอกับอาร์เจนติน่าด้วย ดังนั้นพวกเค้ามีเกมบุกที่ลงตัวรู้ใจกันและทุก ๆ คนทุกตำแหน่งต่างยิงประตูได้ไม่ซ้ำหน้าด้วย ส่วนด้านเกมรับก็เหมือนกัน ฝรั่งเศสแทบไม่เสียประตูในเหตุการณ์สำคัญเลยสักครั้ง แม้แต่ในยามที่ทีมกำลังโดนบุกหนักจากคู่แข่ง ก็มีกองหลังชั้นยอดทั้ง 4 คน โดยเฉพาะคู่หูเซ็นเตอร์ที่มาจากทีมคู่ปรับในลีก ทั้งรีอัลมาดริดและบาร์ซ่า อย่างวารานและอุมติตี้ ยืนปักหลักคู่กันปัดกวาดอันตรายได้หมดจดนั่นเอง

ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้เหล่านักวิจารณ์และแฟน ๆ ก็คงจะเห็นแล้วว่าทำไมทีมฝรั่งเศสชุดนี้ของเดช็องส์ถึงก้าวไปยืนในตำแหน่งหมายเลข 1 ของโลกได้อย่างไม่อายใคร